1. ประเด็นปัญหาและข้อเท็จจริง
สหกรณ์จ้างลูกจ้างเป็นพนักงานบริการเติมน้ำมัน
หรือเด็กปั้ม (เรียกอย่างไรดูสัญญาจ้าง) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2552 โดยทำสัญญาจ้างปีต่อปี
(ต่อสัญญาทุกปี) ลูกจ้างดังกล่าวมีอายุงานถึงวันที่ 30 เมษายน 2566 จำนวน 13 ปี
242 วัน เมื่อสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2566
สหกรณ์ไม่ประสงค์จะทำสัญญาจ้างกับลูกจ้างดังกล่าวต่อไป จึงมีประเด็นให้วินิจฉัยว่า
1.1) กรณีดังกล่าว
เป็นการเลิกจ้างตามระเบียบสหกรณ์ฯ หรือไม่
1.2) กรณีดังกล่าวสหกรณ์จะต้องจ่ายค่าชดเชย
และ/หรือ เงินบำเหน็จ หรือไม่ อย่างไร จึงจะถูกต้องเป็นไปตามระเบียบสหกรณ์
ว่าด้วยเจ้าหน้าที่และข้อบังคับว่าด้วยการทำงาน และ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541 และที่แก้ไข
2. ข้อกฎหมาย
สหกรณ์การเกษตร
ก. จำกัด กำหนดระเบียบว่าด้วยเจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ตามมาตรา
108 แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไข ในระเบียบดังกล่าว
หมวดบำเหน็จ ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ
กำหนดให้สหกรณ์จะจ่ายค่าชดเชยให้แก่เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง ชึ่งหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยสหกรณ์กำหนดสอดคล้องเป็นไปตามมาตรา
118 แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยกำหนดนิยามและเงื่อนไขการจ่าย ว่า
“การเลิกจ้าง
หมายความว่า
การกระทําใดที่สหกรณ์ไม่ให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างทํางานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด
และหมายความรวมถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่และลูกจ้างไม่ได้ทํางานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไป
ความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่และลูกจ้างที่มีกําหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน
และเลิกจ้างตามกําหนดระยะเวลานั้น
การจ้างที่มีกําหนดระยะเวลาตามวรรคสามจะกระทําได้สําหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของสหกรณ์ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด
ของงานที่แน่นอนหรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกําหนดการสิ้นสุด
หรือความสําเร็จของงาน
หรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น
ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จ
ภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยสหกรณ์และเจ้าหน้าที่และลูกจ้างได้ทําสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง” ชึ่งข้อความดังกล่าวสอดคล้องเป็นไปตาม
มาตรา 118 แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
นอกจากค่าชดเชยแล้วสหกรณ์ยังกำหนดไว้ในระเบียบฯ
ให้ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสหกรณ์คนใดทำงานในสหกรณ์ด้วยความเรียบร้อยเป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเมื่อออกจากตำแหน่ง
โดยกำหนดว่า
“การคำนวณเงินบำเหน็จให้เอาเงินเดือนเดือนสุดท้ายตั้งคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน
ในสหกรณ์ เศษของปีถ้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันให้นับเป็นหนึ่งปี
ถ้าต่ำกว่านี้ให้ปัดทิ้ง
จำนวนปีที่ทำงาน
หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่วันบรรจุ
เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสหกรณ์เข้าทำงานในสหกรณ์จนถึงวันที่ออกจากงานหักด้วยวันลาของผู้นั้น
ในกรณีคำนวณเงินบำเหน็จตามระเบียบนี้มีจำนวนมากกว่าเงินชดเชยที่เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสหกรณ์พึงได้รับ
ตามข้อ ... (การจ่ายค่าชดเชย)
ให้สหกรณ์จ่ายเงินบำเหน็จเพิ่มได้เฉพาะส่วนที่เกินกว่าเงินชดเชยเท่านั้น
เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสหกรณ์ซึ่งออกจากตำแหน่งเพราะตาย
สหกรณ์จะจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่ทายาท
สหกรณ์จะไม่จ่ายบำเหน็จให้เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสหกรณ์ในกรณี
ดังต่อไปนี้
(1)
ถูกไล่ออก
(2) เลิกจ้างตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาการจ้างแน่นอน
(3)
เงินชดเชยที่เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสหกรณ์พึงได้รับมีจำนวนมากกว่าจำนวนเงินบำเหน็จที่คำนวณได้ตามระเบียบนี้”
การกำหนดเรื่องการจ่ายเงินเหน็จของสหกรณ์ตามที่กล่าวมาจะเห็นว่า
การที่สหกรณ์จะไม่จ่ายบำเหน็จให้เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสหกรณ์ในกรณี (2) เลิกจ้างตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาการจ้างแน่นอน
ข้อความนี้สหกรณ์มิได้ให้คำนิยามไว้ ตลอดจนในบทเฉพาะการของระเบียบฯ
กำหนดว่า
ข้อ...ในกรณีที่การบรรจุหรือแต่งตั้ง
หรือเลื่อนตำแหน่ง และทางสหกรณ์ไม่ได้ทำสัญญาตกลงการจ้าง ก็ให้ถือว่าข้อบังคับการทำงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง หากมีการทำข้อตกลงการจ้าง
ก็ให้ยึดถือข้อตกลงการจ้างนั้นเป็นการเฉพาะได้แต่ทั้งนี้ข้อตกลงการจ้างต้องไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
โดยระเบียบสหกรณ์ ให้คำนิยามไว้ว่า “ลูกจ้าง”
หมายถึง ลูกจ้างชั้นหนึ่ง และลูกจ้างชั้นสองหรือผู้ซึ่งตกลงทำงานให้สหกรณ์โดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร)
ซึ่งข้อความดังกล่าว สอดคล้องเป็นไปตาม มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.
2541 และที่แก้ไข ที่กำหนดว่า “นายจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโยจ่ายค่าจ้างให้
และหมายความรวมถึง
(1)
ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนนายจ้าง
(2) ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลและผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลให้ทำการแทนด้วย
"ลูกจ้าง" หมายความว่า
ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร
"สัญญาจ้าง" หมายความว่า
สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจน
หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้างและนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้
"ค่าชดเชย" หมายความว่า
เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง
นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
บทเฉพาะการของระเบียบฯ
กำหนดอีกว่า
ข้อ...ข้อตกลงใดที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
และที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ
ข้อ...การแก้ไขระเบียบนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
และที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ โดยมีสาระสำคัญหลายประการที่เป็นคุณ
และเป็นประโยชน์ต่อลูกจ้างเฉพาะที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับและ
ที่ได้รับสิทธิไปแล้วก่อนหน้านี้ถือว่าได้รับการคุ้มครองตามระเบียบนี้
“เลิกจ้างตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาการจ้างแน่นอน”
ในระเบียบฯ จึงมีเจตนารมณ์เช่นเดียวกับ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน มาตรา 118 วรรคท้าย
ที่กำหนดว่า “การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอนหรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด หรือความสำเร็จของงานหรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น
ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง”
อนึ่ง งานที่มีลักษณะเป็นการ
“จ้างทำของ” ตาม มาตรา 587
ที่มิใช่การจ้างงานตาม มาตรา 575 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ มาตรา 5 แห่ง
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และระเบียบฯ ว่าด้วยการจัดซื้อและจัดจ้างของสหกรณ์
โดยระเบียบสหกรณ์ฯ ว่าด้วยการจัดซื้อและจัดจ้างของสหกรณ์ กำหนดว่า “การจ้าง”
หมายความว่า “การจัดจ้างทำพัสดุ และหมายความรวมถึงการจัดจ้างทำของ
การรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการจ้างเหมาบริการ”
การจ้างทำของในสหกรณ์
ต้องพึงระวังไม่ให้เข้าข่ายเป็นการหลีกเลี่ยงการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณา ได้แก่ มาตรา 575
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดสาระสำคัญของการจ้างแรงงานว่า
เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ให้ลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้าง
และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้
ผลสำเร็จของงานจึงไม่เป็นสาระสำคัญในการจ่ายค่าจ้าง และระหว่างการทำงานนายจ้างมีอำนาจสั่งการหรือบังคับบัญชาลูกจ้างได้ ส่วนการจ้างทำของตามมาตรา
587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับจ้างทำการงานสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่ผู้ว่าจ้าง
และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแก่การงานที่ทำนั้น
ผลสำเร็จของการงานที่รับจ้างจึงเป็นสาระสำคัญในการรับสินจ้าง
และระหว่างทำงานผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจสั่งการหรือบังคับบัญชาได้
เมื่อมีการจ้างทำของในสหกรณ์
สหกรณ์ก็ไม่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เช่น เรื่องการลา การทำงานล่วงเวลา เรื่องค่าชดเชย ฯลฯ และไม่ต้องปฏิบัติตาม
พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
แต่สหกรณ์ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และระเบียบสหกรณ์ฯ
ว่าด้วยการจัดซื้อและจัดจ้างของสหกรณ์
โดยดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำโครงการหรือแผนการดำเนินงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ซึ่งต้องผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ (ยกเว้นกรณีเร่งด่วน
ถ้าหากล่าช้าอาจเกิดความเสียหายแก่สหกรณ์ อาจดำเนินการไปก่อนได้
และรายงานให้ที่ประชุมใหญ่ทราบในคราวประชุมใหญ่ฯ ครั้งต่อไป)
การกำหนดวิธีการจัดจ้าง การจัดทำรายงานขอจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุผลและความจำเป็นในการจ้าง
รายละเอียดของงานที่จะจ้าง วงเงินในการจ้าง กำหนดเวลาให้งานแล้วเสร็จ
การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทำหน้าที่พิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิบัติตามวิธีการจัดจ้างต่าง
ๆ เช่น การจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ การตรวจการจ้าง การทำสัญญาจ้าง และการกำหนดค่าปรับ
เป็นต้น
3. ข้อวินิจฉัย
3.1) กรณีตามประเด็นปัญหาและข้อเท็จจริง
เข้าข่ายเป็นการเลิกจ้างตามระเบียบสหกรณ์
และตาม มาตรา 118 แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไข เพราะสหกรณ์ฯ
ดำเนินธุรกิจปั้มน้ำมัน (จัดหาสินค้ามาจำหน่าย) ซึ่งเป็นงานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง
การที่สหกรณ์จ้างลูกจ้างมาทำหน้าที่ให้บริการเติมน้ำมัน
จึงเข้าข่ายเป็นการจ้างงานตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
และไม่เข้าข่าย เลิกจ้างตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาการจ้างแน่นอน
เพราะธุรกิจปั้มน้ำมันของสหกรณ์ไม่ใช่การจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอนหรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด
หรือความสำเร็จของงานหรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น
ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง”
3.2)
เมื่อเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ใช่เลิกจ้างตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาการจ้างแน่นอน
สหกรณ์ต้องจ่ายค่าชดเชยตามระเบียบฯ ที่กำหนด
3.3)
เมื่อเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ใช่เลิกจ้างตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาการจ้างแน่นอน
สหกรณ์ต้องจ่ายค่าเงินบำเหน็จตามระเบียบฯ ที่กำหนด
อนึ่ง
มาตรา 144 แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไข กำหนดว่า “นายจ้างผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังต่อไปนี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
(1) มาตรา 118 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 147/2563
คําพิพากษาฎีกาที่ 1468/2562-ถือเป็นสัญญาจ้างแรงงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น