การวิจัยเชิงปฏิบัติการ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการ
(Action
Research) เป็นกระบวนการตรวจสอบ ค้นหาความจริง อย่างมีส่วนร่วม
อย่างเป็นระบบ และอย่างระมัดระวัง โดยใช้ระเบียบวิธีทางการวิจัย
หลักสำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือ
การใช้ความคิดริเริ่มของสมาชิกองค์การที่เอาการเอางานเพื่อจูงใจให้ทีมนักวิจัยได้วิจัยแนวคิดใหม่ๆ
และทักษะการแก้ปัญหา
โดยมีพื้นฐานอยู่ที่การปฏิบัติงานร่วมกันและพยายามทำให้กระบวนการวิจัยมีผลในทางปฏิบัติ
(วิทยากร เชียงกูล, 2550: 7)
การวิจัยปฏิบัติการ
(action
research) หมายถึงกระบวนการที่ผู้ประกอบวิชาชีพดำเนินการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติงานของตน
เพื่อพัฒนาผลการปฏิบัติงานของตนให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพดีมากขึ้นกว่าเดิม คำว่า
การวิจัยนี้ หมายถึงวิธีการศึกษาที่มีระเบียบวิธีการเฉพาะ ประกอบด้วย
การกำหนดปัญหาในการปฏิบัติงาน การแสวงหาลู่ทางการแก้ปัญหา การใช้วิธีการต่าง ๆ
ในการแก้ปัญหา การบันทึกรายละเอียดผลการปฏิบัติการ การสรุปและการเสนอผลการแก้ปัญหา
ในขั้นตอนของการดำเนินการวิจัยนี้นักวิจัยต้องมีการปฏิบัติการใช้วิธีการต่าง ๆ
ที่คาดว่าจะแก้ปัญหาได้ และเมื่อพบว่าวิธีการนั้น ๆ แก้ปัญหาได้จริง
ก็ต้องมีการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานเดิมตามวิธีการใหม่
อันจะส่งผลให้การดำเนินงานมีคุณภาพ และประสิทธิภาพดีมากยิ่งขึ้น
การวิจัยปฏิบัติการจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาคุณภาพงาน และผู้ปฏิบัติต้องทำการวิจัยปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเพื่อพัฒนางานของตน
(นงลักษณ์ วิรัชชัย, ออนไลน์, 2548)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชน
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชน
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ และบริบทต่างๆที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับมนุษย์ ซึ่งได้แก่บริบททางด้านการศึกษา
สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และจริยธรรม
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มนุษย์มีศักยภาพในการดำเนินวิถีชีวิตไปตามสภาพแวดล้อมและสังคมอย่างเหมาะสม
โดยใช้วิธีการต่างๆที่เหมาะสมกับความเชื่อ ทัศนคติ วิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ใน
ภูมิ-สังคมต่างๆ เช่น การเรียนทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา การฝึกอบรม การทดลองเป็นต้น
ที่ผ่านมามนุษย์ได้ใช้วิธีการต่างๆเพื่อการพัฒนาตนเองและผู้คนในสังคม
ซึ่งรวมถึงสังคมโลกด้วย
แต่การพัฒนาที่ผ่านมาผู้คนได้ยึดแนวทางการพัฒนาที่เป็นกระแสหลักมากเกินไป
โดยทำตามๆกันไปตามกระแสโลกาภิวัตน์
ส่งผลให้แนวคิดการพัฒนาที่ไม่ใช่กระแสหลักถูกเบียดขับ กลายเป็นแนวทางชายขอบ
ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมส่วนใหญ่ และไม่ให้คุณค่า
ทำให้แนวทางการพัฒนาชายขอบขาดการพัฒนาต่อยอดและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตกับผู้คนในยุคปัจจุบัน
ส่งผลให้ผู้คนในสังคมได้รับการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกัน
โดยเฉพาะความไม่เท่าเทียมด้านการให้คุณค่าของผู้คนในสังคม เช่น
องค์ความรู้ท้องท้องถิ่นต่างๆ ที่แม้จะมีประโยชน์ มีคุณค่า
แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้คนในสังคมและผู้คนในท้องถิ่นเอง ขณะที่เครื่องมือการพัฒนาในแนวทางหลักยังไม่สามารถตอบสนองต่อผู้คนได้อย่างทั่วถึงครอบคลุม
เกิดภาวะที่เรียกว่าชุมชนอ่อนแอ ชุมชนล่มสลาย
เพราะสมาชิกในชุมชนที่เข้าไม่ถึงเครื่องมือการพัฒนากระแสหลักได้ละทิ้งแนวทางพื้นฐานของตนเอง
เพื่อแสดงหาการพัฒนากระแสหลักที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชนเพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนจึงควรเป็นการพัฒนาที่สมดุล
ให้คุณค่ากับแนวทางการพัฒนาทุกรูปแบบที่มีประโยชน์
โดยยึดความต้องการของหน่วยย่อยต่างๆในสังคมเป็นพื้นฐาน
แนวทางหลักในการพัฒนาสังคมโดยรวมต้องบูรณาการความหลากหลายต่างๆมีอยู่
ให้สามารถตอบสนองมนุษย์และชุมชนที่หลากหลายในสังคมได้อย่างเท่าเทียม
ผู้มีหน้าที่บริหารสังคมต้องกล้าชี้ให้เห็นว่าแนวทางใดที่เป็นการพัฒนาที่ไม่เหมาะสม
และต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
เลือกใช้แนวทางการพัฒนาที่เชื่อว่าจะสามารถตอบสนองต่อผู้คนทุกๆคน ทุกๆกลุ่มในสังคมได้อย่างยั่งยืน
โดยไม่ยึดถือแนวทางการพัฒนากระแสหลักแต่เพียงอย่างเดียว
แผนภาพที่ 1. แสดงกรอบแนวคิดในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชน
ปรับจากทฤษฎีวัตถุนิยมแบบประวัติศาสตร์
ของ คาร์ล มาร์ก (Karl Mark, 1818-1883)
(ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, 2546: 153)
การวิจัยเชิงปฏิบัติการกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชน
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชนมีความเป็นพลวัตร
วิถีชีวิตและความคิดของผู้คนมีการเปลี่ยนแปลง วิวัฒนาการเรื่อยมา
โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่กระแสโลกาภิวัตน์
และเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสับสน
ไร้ระเบียบ ส่งผลให้ผู้คนที่ขาดภูมิคุ้มกันตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ผู้ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองตามกระแสของสังคมได้ก็จะกลายเป็นคนชายขอบของการพัฒนาในสายตาของผู้ที่สามารถก้าวทันกระแสโลกาภิวัตน์
กระบวนการกลายเป็นชายของของผู้คนที่ไม่สามารถปรับตัวให้เท่าทันกระแสโลกาภิวัตน์
ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียความมั่นใจในหลักยึดของตนเอง
อันได้แก่ค่านิยมและวัฒนธรรมชุมชนที่ยึดถือปฏิบัติกันมา เช่น
วิถีชีวิติความเป็นอยู่แบบพอเพียงในอดีตถูกมองว่าล้าหลังไม่สามารถแข่งขันได้ หากไม่สามารถเรียนรู้และรับเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่วิถีการผลิตแบบดั้งเดิม
การแก้ปัญหาลดความเหลื่อมล้ำของผู้คนในสังคมที่ผ่านมา
นโยบายและมาตรการส่วนนใหญ่มักถูกกำหนดมาจากโครงสร้างส่วนบน อันได้แก่รัฐบาล
และกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจในการบริหารประเทศและระดับท้องถิ่น
แนวทางการพัฒนาดังกล่าวมักถูกวิพากษ์จากนักพัฒนากระแสทางเลือกว่า
เป็นการพัฒนาที่เป็นแนวดิ่งจากบนลงล่าง ชาวบ้าน ชุมชน เป็นแค่ผู้รับการพัฒนา แต่ไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาชีวิตและชุมชนของตนเอง
การพัฒนาที่ผ่านมาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชนจึงไม่ระสบผลสำเร็จ
โดยเฉพาะในด้านความเท่าเทียมของผู้คน ยิ่งพัฒนาความเหลื่อมล้ำแตกต่างของผู้คนก็ยิ่งมีมากขึ้น
จนมีผู้เสนอแนวคิดในการพัฒนาใหม่ ซึ่งเน้นการพัฒนาโดยเอาคนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง
กระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องเป็นการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วมของผู้คนในภาคส่วนต่างๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการพัฒนา
การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นวิธีการศึกษาเพื่อวางแผนการพัฒนาวิธีหนึ่งที่มีแนวทางที่ชัดเจนและตอบสนองต่อข้อเสนอเรื่องการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม
โดยเฉพาะการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (Participatory
Action Research: PAR) ที่เน้นการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ร่วมกัน
ระหว่าง ชุมชน นักพัฒนา ตลอดจนนักวิจัย เพื่อวางแผน พัฒนา แก้ปัญหา
โดยชุมชนเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของหมู่คณะ
คือระหว่างชาวบ้านกับผู้วิจัย โดยจะเริ่มตั้งแต่ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ
ร่วมดำเนินการ ร่วมประเมินผลและร่วมรับผลที่เกิดจากการดำเนินงานและสรุปบทเรียนตลอดจน
ร่วมหาวิธีแก้ไขปัญหา และร่วมพัฒนาต่อไป โดยการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม
จะเน้นการยอมรับ หรือความเห็นพ้องจากชาวบ้านเป็นสำคัญ
จุดเด่นของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยเฉพาะการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม อันได้แก่ การ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมดำเนินการ ร่วมประเมินผล ร่วมรับผลที่เกิดจากการดำเนินงาน การสรุปบทเรียน ตลอดจนร่วมหาวิธีแก้ไขปัญหา และร่วมพัฒนา จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าจะสามารถช่วยให้ผู้คนที่ถูกผลักดันให้หลายเป็นชายขอบสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนของตนเองได้ ซึ่งภูมิคุ้มกันดังกล่าวจะเป็นดั่งเครื่องป้องกันคลื่นแห่งกระแสโลกาภิวัตน์ ช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานตามบริบทของตนเองอย่างเหมาะสมได้อย่างยั่งยืนต่อไป
เอกสารอ้างอิง
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2546. ลัทธิเศรษฐกิจการเมือง. กรุงเทพมหานครฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นงลักษณ์
วิรัชชัย. 2548. การสังเคราะห์งานวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
(ออนไลน์). www.ksp.or.th/upload/301/files/280-9056.doc, 17
มิถุนายน 2552.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น