จากประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์
พบว่ามีหลายครั้งที่คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ต้องลงมติในวาระพิจารณาที่สำคัญ
และปรากฏว่า มีกรรมการบางส่วนงดออกเสียง
ในฐานะเจ้าหน้าที่ส่งเสริมสหกรณ์ที่เข้าร่วมประชุมจะแนะนำเรื่องนี้อย่างไรดี
สหกรณ์ที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายสหกรณ์
(ปัจจุบัน คือ พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
มีฐานะเป็นนิติบุคคล (มาตรา 37) มีคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์เป็นผู้แทนสหกรณ์
โดยเมื่อแรกตั้งสหกรณ์คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์เป็นผู้ได้รับมอบหมายการทั้งปวงจากคณะผู้จัดตั้งสหกรณ์ภายหลังการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก
(มาตรา 40)
คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ประกอบด้วย
ประธานกรรมการหนึ่งคน
และกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบสี่คนซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งจากสมาชิก (มาตรา 50 วรรคแรก) คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินกิจการ
และเป็นผู้แทนสหกรณ์ในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก
เพื่อการนี้คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์จะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคน
หรือผู้จัดการทำการแทนก็ได้ (มาตรา 51) ในการดำเนินกิจการของสหกรณ์
คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ กรรมการ หรือผู้จัดการ
ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์
ขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการที่จะพึงดำเนินการได้ของสหกรณ์ ข้อบังคับของสหกรณ์
และมติที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของสหกรณ์หรือสมาชิก
(มาตรา 51/1)
สหกรณ์ต้องกำหนดประเภทสหกรณ์
(มาตรา 43 (2)) วัตถุประสงค์ (มาตรา 43 (3)) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงาน (มาตรา 43 (6)) ตลอดจนการเลือกตั้ง
การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งและการประชุมของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ (มาตรา 43
(9)) ไว้ในข้อบังคับของสหกรณ์
เพื่อให้เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ (มาตรา 43 (3)) และข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงาน
(มาตรา 43 (6)) ให้สหกรณ์กำหนดอำนาจกระทำการไว้ให้ขัดเจนในข้อบังคับ
(มาตรา 46)
จากข้อกฎหมายดังที่กล่าวมาจะเห็นว่า
คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์เป็นผู้แทนสหกรณ์ในการดำเนินการต่าง ๆ
ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสหกรณ์
ซึ่งการใช้อำนาจของคณะกรรมการดำเนินการนั้นต้องใช้ในนามคณะกรรมการดำเนินการ
ไม่ใช่ใช้อำนาจโดยกรรมการคนหนึ่งคนใด กฎหมายจึงกำหนดเรื่อง
การประชุมของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ (มาตรา 43 (9))
การประชุมคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์
เป็นการดำเนินที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของผู้แทนสหกรณ์ ในเรื่องสำคัญต่าง ๆ
อาทิ การรับทราบผลการดำเนินงาน การติดตามผลการดำเนินงาน การพิจารณาเพื่อดำเนินการ
การพิจารณาอนุมัติงบประมาณ การพิจารณาถือใช้ระเบียบ การอนุมัติเงินกู้
การนำเงินไปลงทุน การอนุมัติงบประมาณรายจ่าย
การพิจารณาเกี่ยวกับวินัยของเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของสหกรณ์ และดำเนินการต่าง ๆ
(ดูอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการในข้อบังคับของสหกรณ์)
บางเรื่องเป็นอำนาจของที่ประชุมใหญ่ แต่ที่ประชุมใหญ่ก็ได้อนุมัติเป็นกรอบอย่างกว้าง
ๆ ไว้ เมื่อจะดำเนินการจริง ๆ ก็ต้องอาศัยมติที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการก่อน
การลงมติของคณะกรรมการดำเนินการในวาระพิจารณาเพื่อตัดสินใจกระทำการต่าง
ๆ ในฐานะผู้แทนสหกรณ์จึงต้องเป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบของสหกรณ์
และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของที่ประชุมใหญ่
อยู่บนพื้นฐานเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการที่จะพึงดำเนินการได้ของสหกรณ์
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของสหกรณ์หรือสมาชิก
วิธีการออกเสียงเพื่อลงมติของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์
จะอาศัยแนวทางตามกฎหมายใด ๆ ให้พึงตระหนักว่ากฎหมายสหกรณ์กำหนดเรื่องนี้ไว้อย่างไร
ข้อบังคับของสหกรณ์กำหนดไว้อย่างไร ดังนี้
ในการประชุมคณะกรรมการดำเนินการ
ต้องมีกรรมการดำเนินการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการดำเนินการทั้งหมด
จึงจะเป็นองค์ประชุม ทั้งนี้
กรรมการผู้ใดขาดประชุมคณะกรรมการดำเนินการติดต่อกันสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันควร
กรรมการดำเนินผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง (ข้อบังคับสหกรณ์)
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการ
คณะกรรมการดำเนินการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการทั้งปวงของสหกรณ์ให้เป็นไปตามกฎหมาย
ข้อบังคับ ระเบียบ มติ และคำสั่งของสหกรณ์
กับทั้งในทางอันจะทำให้เกิดความจำเริญแก่สหกรณ์ ในกรณีคณะกรรมการดำเนินการกระทำการ
หรืองดเว้นกระทำการ
หรือกระทำการโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ของตนจนทำให้เสื่อมเสียผลประโยชน์ของสหกรณ์หรือสมาชิก
อันเป็นเหตุให้สหกรณ์มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี
หรือกิจการหรือฐานะการเงิน ตามรายงานการสอบบัญชีหรือตามรายงานการตรวจสอบ
เป็นเหตุให้สหกรณ์ได้รับความเสียหาย
คณะกรรมการดำเนินการต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สหกรณ์ (ข้อบังคับสหกรณ์)
การวินิจฉัยปัญหาต่าง
ๆ ในที่ประชุมใหญ่ หรือที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการ หรือที่ประชุมคณะกรรมการอื่น
ๆ ให้ถือคะแนนเสียงข้างมาก
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
เว้นแต่ในกรณี การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ การควบสหกรณ์ การแยกสหกรณ์
การเลิกสหกรณ์
ให้ถือเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกซึ่งมาประชุม
ทั้งนี้ ถ้าในปัญหาซึ่งที่ประชุมวินิจฉัยนั้น ผู้ใดมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษเฉพาะตัว
ผู้นั้นจะออกเสียงในเรื่องนั้นไม่ได้ (ข้อบังคับสหกรณ์)
“การวินิจฉัยปัญหาต่าง
ๆ ในที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการ หรือที่ประชุมคณะกรรมการอื่น ๆ
ให้ถือคะแนนเสียงข้างมาก
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด”
มีคำถามว่า
กรรมการผู้หนึ่งผู้ใดจะงดออกเสียงในวาระพิจารณาเพื่อการวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ
ในที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการ หรือที่ประชุมคณะกรรมการอื่น ๆ ได้หรือไม่
และหากกรรมการงดออกเสียงจะส่งผลประการใด มีข้อกฎหมายให้พิจารณา ดังนี้
มาตรา 51/2 บัญญัติว่า คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ กรรมการ หรือผู้จัดการ
ต้องรับผิดร่วมกันในความเสียหายต่อสหกรณ์ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
(2) ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์
(3) ดำเนินกิจการนอกขอบวัตถุประสงค์
หรือขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการ ที่จะพึงดำเนินการได้ของสหกรณ์
เจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ผู้ใดมีส่วนร่วมในการกระทำของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์
กรรมการ หรือผู้จัดการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์
เจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ผู้นั้นต้องรับผิดร่วมกันกับคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์
กรรมการ หรือผู้จัดการ ในความเสียหายต่อสหกรณ์
มาตรา 51/3 คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ กรรมการ หรือผู้จัดการ ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 51/2
ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) พิสูจน์ได้ว่าตนมิได้ร่วมกระทำการอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์
(2) ได้คัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์โดยปรากฏในรายงานการประชุมหรือได้ทำคำคัดค้านเป็นหนังสือยื่นต่อประธานที่ประชุมภายในสามวันนับแต่สิ้นสุดการประชุม
จากข้อกฎหมายดังกล่าว
สมมติว่า ในการประชุมคณะกรรมการดำเนินการครั้งหนึ่ง
คณะกรรมการลงมติอันเป็นการดำเนินกิจการนอกขอบวัตถุประสงค์
เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์ โดย สหกรณ์แห่งนี้ข้อบังคับกำหนดให้มีกรรมการ
15 คน (ประธาน 1 คน
และกรรมการ 14 คน) ปรากฏว่าวันประชุมมีกรรมการมาประชุม 14
คน (เป็นวาระการประชุมกรรมการฯ
ที่ไม่มีวาระการเสนอให้ที่ประชุมใหญ่แก้ไขข้อบังคับ) มีกรรมการลงมติให้ดำเนินการ 8
คน กรรมการลงมติไม่เห็นด้วย 3 คน
กรรมการงดออกเสียง 3 คน
และกรรมการไม่มาประชุมเนื่องจากป่วยหนัก 1 คน
(มีใบลาหรือหลักฐานการป่วย) ผลของมติกรรมการ ที่ส่งผลต่อการดำเนินการของสหกรณ์
จะส่งผลอย่างไรต่อกรรมการที่ลงมติครั้งนี้
1) กรรมการที่ลงมติให้ดำเนินการ
8 คน ต้องรับผิดตามมาตรา 51/2
2) กรรมการที่ลงมติไม่เห็นด้วย
3 คน ไม่ต้องรับผิด แต่ต้องบันทึกรายงานการประชุมให้ชัดเจน
(มาตรา 51/3)
3) กรรมการที่ไม่มาประชุมเพราะป่วย
ไม่ต้องรับผิด
4) กรรมการที่งดออกเสียง
3 คน ต้องร่วมรับผิด
เพราะมิได้คัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ (รู้ว่าผิดก็ยังเฉย)
แต่หากได้ทำคำคัดค้านเป็นหนังสือยื่นต่อประธานที่ประชุมภายในสามวันนับแต่สิ้นสุดการประชุม
ก็ไม่ต้องรับผิด
ทั้งนี้จะเห็นว่า
การจดบันทึกรายงานการประชุมของสหกรณ์มีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการประชุมใหญ่ก็ดี
หรือการประชุมคณะกรรมการดำเนินการ หรือการประชุมคณะกรรมการอื่น ๆ
ตลอดจนการประชุมอื่น ๆ เช่น การประชุมกลุ่มสมาชิก
การจดบันทึกรายงานการประชุมต้องมีรายละเอียดที่ครบถ้วน มีการอ้างอิงข้อกฎหมาย
ข้อบังคับ ระเบียบ มติที่ประชุมใหญ่ มีการอ้างถึงความจำเป็น วิธีการ
และผลที่จะเกิด แสดงให้เห็นเจตนาที่ชัดแจ้ง
คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ในแต่ละปีมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน
เนื่องจากกรรมการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีนับแต่วันเลือกตั้ง
ในวาระเริ่มแรกเมื่อครบหนึ่งปีนับแต่วันเลือกตั้ง
ให้กรรมการดำเนินการสหกรณ์ออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนหนึ่งในสองของกรรมการ
ดำเนินการสหกรณ์ทั้งหมดโดยวิธีจับฉลาก และให้ถือว่าเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
(วรรค 2 มาตรา 50) ฉะนั้น
หากจดบันทึกรายงานการประชุมไว้ไม่ชัดแจ้ง และหากมีข้อสงสัยที่จะต้องวินิจฉัย
ก็จะต้องเสียเวลาในการสืบหาเจตนาที่แท้จริง
หากจะต้องดำเนินการทางกฎหมายก็ใช้เป็นหลักฐานที่ไม่มีน้ำหนัก
อนึ่ง
หากพิจารณาจากวัตถุประสงค์และอำนาจกระทำการของสหกรณ์
ตามประเภทสหกรณ์ที่จัดตั้งและจดทะเบียนตามกฎหมาย
ผมมองไม่เห็นเลยว่ามีเรื่องใดบ้างที่กรรมการจะงดออกเสียง
เพราะมันมีแต่เรื่องที่ทำได้กับทำไม่ได้ ประกอบกับสหกรณ์มีบรรดาระเบียบต่าง ๆ
ซึ่งกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจกระทำการ
ยิ่งช่วยให้การลงมติออกเสียงต่าง ๆ ง่ายมากกว่าที่จะงดออกเสียง
ทั้งนี้หากไม่แน่ใจจริง ๆ
ก็อาจหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะดำเนินการลงมติก็ยิ่งป้องกันความผิดพลาดเสียหาย
ทั้งนี้
การงดออกเสียงในการประชุมอื่น ๆ ในองค์กรอื่น ๆ
จะทำได้หรือไม่ได้ให้พิจารณาจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และข้อบังคับการประชุมของแต่ละองค์กร
ใช่ว่าการงดออกเสียงจะเป็นการแสดงเจตนาที่เป็นสากล นำมาใช้ได้ในทุก ๆ องค์กร
โดยเฉพาะในสหกรณ์ ผมเห็นว่าการงดออกเสียงไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดต่อสหกรณ์เลย
อาจเข้าข่าย “งดเว้นกระทำการ” เสียด้วยซ้ำ (ตรงนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ)
ตัวอย่างข้อบังคับการประชุมขององค์กรอื่น
ๆ และข้อวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องกับ “การงดออกเสียง”
1) ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา
พ.ศ. 2563 ข้อ 57 (1) กำหนดการออกเสียงลงคะแนน
3 ความเห็น คือ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย และไม่ออกเสียง
ทั้งนี้รัฐสภาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า งดเว้นการออกเสียง หมายถึง
การที่สมาชิกสภาไม่ออกเสียงหรืองดการแสดงความเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับญัตติหรือข้อปรึกษาที่ต้องมีการลงมติในที่ประชุมสภา
คะแนนเสียงของสมาชิกสภาที่งดเว้นการออกเสียงไม่นำมานับรวมเป็นเสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
จึงไม่มีผลในทางสนับสนุนหรือคัดค้านฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในกรณีที่ใช้เสียงข้างมากธรรมดาในการชี้ขาดญัตติหรือข้อปรึกษานั้น
แต่อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีที่ต้องใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการชี้ขาด การงดเว้นการออกเสียงก็อาจมีผลเท่ากับเป็นการไม่เห็นด้วยกับญัตตินั้นได้
เช่น
ในกรณีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2560 มาตรา 151 ซึ่งกำหนดให้มติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
การงดเว้นการออกเสียงจึงทำให้เกิดผลเท่ากับว่าไม่เห็นด้วยกับญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนั้นนั่นเอง
(https://library.parliament.go.th/th/node/4180)
2) บันทึกสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การหามติของ ก.อบต.จังหวัด กรณีกรรมการลงมติเห็นชอบ
น้อยกว่าจํานวนกรรมการที่งดออกเสียง (เรื่องเสร็จที่ 1178/2558) สรุปว่า
การนับคะแนนเสียงต้องนับจากเสียงที่ลงคะแนนโดยให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นมติของคณะกรรมการ
ส่วนการงดออกเสียงเป็นการไม่ลงคะแนนเสียงจึงไม่อาจนับเป็นเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้
โดยมีการอธิบายเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียง ว่า
คณะกรรมการกฤษฎีกา
(คณะที่ 1) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
โดยมีผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า
โดยทั่วไปหลักการหามติของคณะกรรมการโดยการนับคะแนนเสียงนั้น แบ่งออกได้เป็น 2
แบบ คือ
(1) เสียงข้างมากแบบธรรมดา
(Simple Majority) หมายถึง
คะแนนเสียงข้างมากของผู้ซึ่งประกอบเป็นองค์ประชุมและได้ออกเสียงลงคะแนนให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบในเรื่องนั้น
การงดออกเสียงลงคะแนนหรือไม่อยู่ในที่ประชุมไม่ว่าด้วยเหตุใด
ย่อมไม่ถือว่าเป็นการออกเสียงจึงไม่อาจนับคะแนนเหล่านั้นไปรวมกับการออกเสียงลงคะแนนของฝ่ายที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยได้
(2) เสียงข้างมากแบบเด็ดขาด
(Absolute Majority) หมายถึง
คะแนนเสียงข้างมากของจำนวนทั้งหมด ซึ่งอาจกำหนดให้เกินกึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น
เช่น สองในสาม หรือสามในสี่ของสมาชิกหรือกรรมการทั้งหมดหรือเท่าที่มีอยู่
ในกรณีนี้การหามติของที่ประชุมจึงต้องให้ได้คะแนนเสียงตามที่กำหนดไว้
ไม่ว่าจะมีผู้ลงคะแนนเสียงเท่าใด มาประชุมเท่ใด หรืองดออกเสียงเท่าใด
คะแนนเสียงที่จะถือเป็นมติได้ต้องได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้เท่านั้น
3) บันทึกสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การลงมติของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เรื่องเสร็จที่ 263/2565 สรุปว่า แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ประกอบกับข้อ 21 แห่งระเบียบคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
ว่าด้วยการประชุมคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เนื่องจากกฎหมายและระเบียบดังกล่าวมิได้บัญญัติให้มีการนับคะแนนเสียงข้างมากไว้เป็นอย่างอื่น
การนับคะแนนเสียงในกรณีนี้จึงต้องถือหลักการนับคะแนนเสียงข้างมากธรรมดาที่จะต้องนับคะแนนเสียงเฉพาะแต่กรรมการผู้ซึ่งออกเสียงลงคะแนนในเรื่องดังกล่าวเท่านั้น
ส่วนกรรมการที่งดออกเสียงย่อมไม่อาจนำมานับเป็นคะแนนเสียงได้ อนึ่ง
คณะกรรมการเป็นองค์กรกลุ่ม
ประกอบด้วยบุคคลซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบและมีความรู้ความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน
การทำงานในรูปแบบของคณะกรรมการก็เพื่อให้มีองค์ประกอบที่มาจากบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันปรึกษาหารือ
ระดมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ซึ่งกันและกันเพื่อให้ได้ข้อยุติเป็นมติ
ซึ่งเมื่อได้พิจารณาองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่
ของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าฯ แล้ว
คณะกรรมการกฤษฎีกา
เห็นว่า กฎหมายประสงค์ที่่จะให้มีคณะกรรมการที่มีความคล่องตัวและเป็นอิสระ
เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม
ประกอบกับมาตรา 17 (9) และมาตรา 85 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าฯกำหนดให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ามีอำนาจหน้าที่พิจารณากำหนดโทษปรับทางปกครองตามมาตรา
80 มาตรา 81 มาตรา 82 และมาตรา 83 รวมทั้งฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ตลอดจนมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง
โดยคำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติกรรมที่กระทำผิด ดังนั้น
กรรมการเสียงข้างน้อยและกรรมการที่งดออกเสียงจึงมีหน้าที่ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาลงมติในวาระพิจารณาการกำหนดจำนวนค่าปรับทางปกครอง…
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 57 (1) บันทึกสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การหามติของ ก.อบต.จังหวัด กรณีกรรมการลงมติเห็นชอบ
น้อยกว่าจํานวนกรรมการที่งดออกเสียง (เรื่องเสร็จที่ 1178/2558) จะเห็นว่า การกำหนดเรื่องการออกเสียงเป็นเรื่องที่ต้องกำหนดไว้ในข้อบังคับ
หรือข้อบังคับการประชุมของแต่ละองค์กร แต่หากไม่ได้กำหนดเรื่อง “การงดออกเสียงไว้”
หรือกำหนดเพียง “ให้ถือคะแนนเสียงข้างมาก” หากมีกรณีปัญหาให้ต้องวินิจฉัย เช่น
คะแนนเสียงข้างมากน้อยกว่าคะแนนงดออกเสียง จะต้องวินิจฉัยตามแนวทาง เรื่องเสร็จที่
1178/2558 แต่ในกรณีของสหกรณ์ก็ให้พิจารณาตามข้อกฎหมายที่ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น