ปัญหาทางการเงินที่สำคัญของสังคมไทยในปัจจุบันคือปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและในอนาคต ปัจจุบันระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับที่น่ากังวล ไม่ว่าจะเทียบกับในอดีตหรือเทียบกับต่างประเทศ โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 1/65 พบว่าสถาบันรับฝากเงินและสถาบันการเงินอื่น มียอดเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน (หนี้ครัวเรือน) รวมทั้งสิ้น 14.64 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีแล้ว จะพบว่า ไตรมาส 1/65 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 89.2% ต่อจีดีพี ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 4/64 ซึ่งหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 90.0% ต่อจีดีพี (ประชาชาติธุรกิจ, 25 สิงหาคม 2565) ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ชี้ว่าระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นสูงถึง 89.3% และเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ไทยมีระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงเป็นอันดับที่ 12 จาก 70 ประเทศทั่วโลก และสูงเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชียรองจากประเทศเกาหลีใต้
ปัญหาหนี้ครัวเรือนดังกล่าว
หากไม่ได้รับการแก้ไขก็จะเป็นปัจจัยฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
และเป็นปัญหาสำคัญจนกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินไทย
หนี้ครัวเรือนคือหนี้ที่ประชาชนกู้ยืมจากผู้ให้กู้ สถาบันการเงิน
ผู้ให้บริการนอกระบบ หรือแหล่งเงินกู้อื่น ๆ เพื่อนำเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายตามความต้องการที่แตกต่างกันไป
โดยการก่อหนี้หรือการกู้ยืมเงินนั้นช่วยให้เราสามารถใช้จ่ายได้ทั้งในชีวิตประจำวัน
และยามจำเป็นเกินกว่ารายได้และเงินออมที่มีอยู่ อย่างไรก็ดี
การก่อหนี้เปรียบเสมือนการนำรายได้ในอนาคตมาใช้ แม้จะทำให้เกิดการใช้จ่าย
ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในปัจจุบัน
แต่ในอนาคตผู้กู้จำเป็นต้องทยอยชำระหนี้คืนทำให้รายได้ที่หามาเหลือใช้น้อยลง
และหากครัวเรือนส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจก่อหนี้มากเกินไปก็จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจผ่านทางการบริโภคของครัวเรือนในอนาคตจะลดลง
และความสามารถในการรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดน้อยลง
ซึ่งสร้างความเสี่ยงให้กับระบบสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้ยืม
ในกรณีที่การผิดนัดชำระหนี้มีจำนวนมาก
ระบบการเงินจะได้รับความเสียหายจนไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติและกระทบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
(ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2562)
ด้านสถานการณ์ทางการเงินของสมาชิกสหกรณ์ในระบบสหกรณ์พบว่า
สัดส่วนเงินออมต่อสมาชิกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
แต่มีอัตราต่ำกว่าสัดส่วนหนี้สินต่อสมาชิกซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า
แสดงให้เห็นว่าสมาชิกส่วนใหญ่ยังมีปัญหาหนี้สินเช่นเดียวกับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนของประเทศ
นอกจากปัญหาหนี้สินที่กล่าวมา
ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือปัญหาอาชญากรรมทางการเงิน เช่น การทุจริต หลอกลวง ยักยอก
หากเกิดขึ้นในระบบสหรณ์ ก็จะส่งผลให้สมาชิกเดือดร้อน
ขาดความเชื่อมั่นศรัทธาต่อการให้บริการทางการเงินของสหกรณ์
และหากปัญหาดังกล่าวมีความถี่สูง มีความเสียหายจำนวนมาก
ก็อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสหกรณ์โดยรวม
สหกรณ์สร้างสุขทางการเงินให้แก่สมาชิกได้อย่างไร
สหกรณ์สร้างสุขทางการเงิน
ขับเคลื่อนภายใต้กรอบแนวคิดการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
และกรอบแนวคิดเทคโนโลยีทางการเงิน
กรอบแนวคิดการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเงินหรือรายได้ที่ได้มาและวางแผนใช้เงินนั้นให้ตรงตามจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ทางการเงินที่ได้มาอย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนทางการเงินประกอบด้วย การวางแผนกระแสเงินสด (รายรับ-รายจ่าย)
การวางแผนการออม การวางแผนการลงทุน การวางแผนภาษี การวางแผนประกันภัย
การวางแผนเกษียณ และการวางแผนมรดก โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ของครัวเรือน
สร้างความตระหนักรู้ทางการเงินให้กับครัวเรือน
เพื่อไม่ให้ครัวเรือนเกิดการใช้จ่ายและการก่อหนี้ที่เกินตัว
ให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุน รวมถึงรู้จักวางแผนการเงินและบริหารความเสี่ยง
การปลดเปลื้องหนี้เดิม
และช่วยส่งเสริมความมั่นคงและปลอดภัยในระบบการเงินของสหกรณ์โดยรวม
กรอบแนวคิดเทคโนโลยีการเงิน
เทคโนโลยีทางการเงิน
(Financial Technology: Fintech) มักถูกนำมาใช้ในการเรียกบริษัท
กลุ่มธุรกิจ หรือกลุ่มผู้ประกอบการที่คิดค้นนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ
โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการให้บริการด้านการเงินและการลงทุนให้มีความสะดวก
รวดเร็ว ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น Fintech อาจจำแนกออกเป็น
2 รูปแบบ คือ Traditional Fintech และ Emergent
Fintech
Traditional Fintech เป็นธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่อำนวยความสะดวกและสนับสนุนด้านเทคโนโลยีแก่ภาคการเงินโดยทั่วไป
เช่น บริษัทผู้พัฒนาบริการ Internet Banking หรือ Mobile
Banking ให้แก่สถาบันการเงินเป็นต้น
ส่วน Emergent
Fintech เป็นธุรกิจหรือกลุ่มผู้ประกอบการที่คิดค้นนวัตกรรมทางการเงินใหม่
ๆ โดยใช้เทคโนโยลีเพื่อลดบทบาท หรือกำจัดตัวกลางทางการเงินแบบดั้งเดิม เช่น Paypal
เป็นต้น Fintech ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการทำธรุกรรมทางการเงินและการลงทุน
ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น
ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน (พิมรักษ์
พรหมปาลิต, ออนไลน์)
เทคโนโลยีทางการเงิน
(Financial Technology: FinTech) กำลังก้าวเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันจนแทบจะขาดไม่ได้
หนึ่งในพัฒนาการด้าน FinTech ที่เด่นชัดที่สุดของไทยคือ
การพัฒนามาตรฐาน QR Code เพื่อการชำระเงินที่ช่วยเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ
(Mobile Payment) ให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถรับชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
เป็นการขยายช่องทางการรับชำระเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
ทำให้ร้านค้ามีต้นทุนต่ำลง ประชาชนยังสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือได้
(Mobile Banking) โดยไม่ต้องจำชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านให้ยุ่งยาก
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล หรือ Biometrics ที่เพียงแค่สแกนลายนิ้วมือหรือใบหน้า
ผู้ใช้บริการก็สามารถยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน Mobile Banking ได้ นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ยังเริ่มใช้ Biometrics ในการเปิดบัญชีเงินฝาก
เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องแม่นยำของการยืนยันตัวลูกค้า
เป็นส่วนเสริมนอกเหนือจากการตรวจสอบโดยพนักงาน ด้วยเทคโนโลยีการใช้ข้อมูล Biometrics
ที่กำลังจะมีบทบาทและความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต การพัฒนาระบบ National
Digital Identity (NDID) โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัล
ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลการพิสูจน์ยืนยันตัวตนลูกค้าระหว่างหน่วยงาน
ด้วยวิธีที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง
จะช่วยให้ผู้ใช้บริการทางการเงินสามารถทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ต้องยื่นเอกสารหลักฐานหลายครั้งเช่น
การเปิดบัญชีและการขอสินเชื่อกับผู้ให้บริการรายใหม่ได้สะดวกมากขึ้น
โดยใช้หลักการตรวจสอบยืนยันข้อมูลกับหน่วยงานที่เชื่อถือได้
หรือผู้ให้บริการที่เคยรู้จักตัวตนของผู้ขอใช้บริการแล้ว
นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดการให้บริการใหม่อื่น ๆ ได้ด้วย เช่น Digital
Lending หรือ Bio-Payment อาทิ
การชำระเงินด้วยใบหน้าและลายนิ้วมือ (ธนาคารแห่งประเทศไทย, ออนไลน์)
นอกจากเทคโนโลยีที่ผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรงที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น
ยังมีเทคโนโลยีเบื้องหลัง หรือ เทคโนโลยี “หลังบ้าน”
ที่จะเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของผู้ให้บริการ ให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย
และมีต้นทุนที่ถูกลง ได้แก่
1) เทคโนโลยีการประมวลผลแบบกระจายศูนย์
(Distributed Ledger Technology: DLT) เช่น เทคโนโลยี Blockchain
ที่ได้นำมาประยุกต์ใช้ในภาคการเงินมากที่สุด ด้วยคุณลักษณะเด่นของ Blockchain
ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลชุดเดียวกัน
โดยข้อมูลไม่ได้ถูกจัดเก็บไว้ที่เดียว มี ระบบ Consensus ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องรับทราบและยอมรับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูล
ทำให้ข้อมูลในระบบมีความโปร่งใส มีความน่าเชื่อถือสูง สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา
และมั่นคงปลอดภัยจากภัยไซเบอร์ โดยในภาคการเงินไทย ได้เริ่มมีการนำ Blockchain
มาใช้ในการให้บริการหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee) ที่ช่วยให้สถาบันการเงินมีกระบวนการผลิต จัดเก็บ
และนำส่งหนังสือค้ำประกันที่รวดเร็ว ปลอดภัย
และน่าเชื่อถือได้ดีกว่าในรูปแบบกระดาษ
ซึ่งนั่นหมายถึงประโยชน์ต่อภาคธุรกิจที่จะสามารถมั่นใจได้ว่าหนังสือค้ำประกันมีความถูกต้อง
แม่นยำและลดต้นทุนในการจัดเก็บและนำส่งหนังสือค้ำประกันไปให้กับคู่ค้าอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการนำเอา Blockchain เข้ามาใช้เพื่อการโอนเงินระหว่างประเทศ
ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนที่ต่ำลง และรวดเร็วมากขึ้นด้วย
2) ปัญญาประดิษฐ์
(Artificial Intelligence: AI) คือการสร้างความฉลาด
ความเข้าใจ ความรู้ ที่มีในมนุษย์ให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต โดย AI นั้นสามารถประยุกต์ใช้ในการให้ บริการทางการเงินได้หลากหลาย อาทิ
การรู้จำตัวอักษร (Optical Character Recognition: OCR) เช่น
การอ่านข้อมูลบัตรประชาชน ด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ ช่วยเพิ่มความรวดเร็ว
และลดความผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลผิด การรู้จำคำพูด (Speech Recognition) เช่น การพูดคำสั่งเมื่อโทรเข้า Call Center ที่เป็นระบบอัตโนมัติที่เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ
และการเรียนรู้ของเครื่อง หรือ Machine Learning ที่สามารถเรียนรู้
และทำนายข้อมูลได้ผ่านการศึกษาและสร้างอัลกอริทึม (Algorithm) ในภาคการเงินได้เริ่มมีการนำ AI เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในหลากหลายรูปแบบ
อาทิ โปรแกรมตอบกลับการสนทนาผ่านตัวอักษรแบบอัตโนมัติ (Chatbot) ซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการและลดการใช้แรงงานมนุษย์ลง
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินคุณภาพของลูกค้าผู้ขอกู้เงินด้วย AI ที่ใช้ Machine Learning ในการเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ
เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิต ลักษณะการใช้จ่ายและการชำระเงิน
เพื่อวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยงโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้
วงเงินปล่อยกู้ที่เหมาะสม มาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา
3) เทคโนโลยีที่ช่วยให้การเชื่อมต่อฐานข้อมูลแอปพลิเคชัน
(Application Programming Interface: API) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเชื่อมต่อฐานข้อมูลแอปพลิเคชัน
(Application) หรือระบบงานต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกัน
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการทั้งสถาบันการเงินและที่ไม่ใช่สถาบันการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้นตามความประสงค์ของผู้ใช้บริการบนพื้นฐานของความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการจัดการความปลอดภัยที่เหมาะสม
(ธนาคารแห่งประเทศไทย, ออนไลน์)
กิจกรรมสร้างสุขทางการเงิน
1. กิจกรรมการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินและการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน
กิจกรรมส่งเสริมการออม กิจกรรมคลินิกแก้หนี้ กิจกรรมที่ปรึกษาทางการเงิน
ให้แก่สมาชิก
2. กิจกรรมพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินสหกรณ์
(Cooperative FinTech) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิก
พัฒนาระบบการให้บริการทางการเงินแก่สมาชิกที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง
และสร้างความมั่นใจให้แก่สมาชิกในการใช้บริการทางการเงินของสหกรณ์
เกิดความพึงพอใจในความสะดวก รวดเร็ว
และความถูกต้องแม่นยำของการให้บริการทางการเงิน อันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจของสมาชิก
ช่วยให้สมาชิกสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจ
ลดความเสี่ยงด้านปฏิบัติการของสหกรณ์ (Operation Risk) ช่วยให้สหกรณ์มีต้นทุนการบริการทางการเงินที่ต่ำลง
สหกรณ์สร้างสุขทางการเงิน มีเป้าหมาย เพื่อสร้างความตระหนักรู้ทางการเงินให้แก่สมาชิกสหกรณ์ ป้องกันไม่ให้สมาชิกก่อภาระหนี้ที่เกินตัว ส่งเสริมให้สมาชิกให้ความสำคัญกับการออมทรัพย์ ช่วยให้สมาชิกรู้จักวางแผนการเงินและการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน สร้างความมั่นใจให้แก่สมาชิกในการใช้บริการทางการเงินของสหกรณ์ ให้เกิดความพึงพอใจในความสะดวก รวดเร็ว และความถูกต้องแม่นยำของการให้บริการทางการเงิน อันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจของสมาชิก ช่วยให้สมาชิกสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจ ลดความเสี่ยงด้านปฏิบัติการของสหกรณ์ ช่วยให้สหกรณ์มีต้นทุนการบริการทางการเงินที่ต่ำลง ช่วยให้สหกรณ์บรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิก โดยวิธีร่วมกันดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์ร่วมกัน อันจะนำมาซึ่งการกินดี อยู่ดี ของสมาชิกอย่างยั่งยืนต่อไป