ในวาระวันสหกรณ์สากลครั้งที่
101
ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจและเผยแพร่การสหกรณ์ผ่านบทความ
เรื่อง “สหกรณ์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Cooperatives for Sustainable
Development)”
อะไรคือสาเหตุสำคัญของ
“การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)” และการสหกรณ์เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างไร
ความเหลื่อมล้ำ
(Disparity,
Inequality) คือ
ความไม่เท่าเทียมกันของผู้คนในสังคมในการเข้าถึงทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตทางเศรษฐศาสตร์
ความสามารถในการผลิต และการแบ่งปันกำไรส่วนเกินที่เกิดจากการผลิต
ความไม่เท่าเทียมกันในการมีโอกาสได้รับการศึกษา ไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณะ
ไม่มีสิทธิ ไม่มีเสียง ไร้อำนาจต่อรอง
ไม่มีส่วนร่วมและได้รับผลกระทบจากการกระทำของผู้มีอำนาจเหนือกว่า
การดูถูกเหยียดหยาม ไม่เป็นที่ยอมรับ ไร้ศักดิ์ศรีในสายตาของคนในสังคม และได้รับการปฏิบัติในสังคมอย่างไม่เสมอภาค
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของโลก
องค์การสหประชาชาติ
(2020)
ได้รายงานสถานการณ์ความไม่เท่าเทียมของผู้คนไว้ในรายงาน เรื่อง WORLD
SOCIAL REPORT 2020: INEQUALITY IN A RAPIDLY CHANGING WORLD โดยสรุปว่า
สถานการณ์ความไม่เท่าเทียมด้านรายได้ของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่มีรายได้สูงกับประเทศที่มีรายได้ต่ำ
โดยประชากรมากกว่าสองในสาม (ร้อยละ 71) ของประชากรโลก
ยังคงมีรายได้ต่ำ
รายได้และความมั่งคั่งกระจุกตัวในประเทศที่พัฒนาแล้วและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สัดส่วนส่วนแบ่งรายได้ของคนรวยที่สุดกับคนจนที่สุดมีความห่างกันมากขึ้น
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(2561)
อธิบายว่า
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทั้งในส่วนของรายได้และรายจ่ายระหว่างประชากรกลุ่มต่าง ๆ
ของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในประเทศยังมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญ
ในการดำเนินการผ่านมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ
เพื่อให้ประชากรในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น
และมีการกระจายรายได้จากกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงไปสู่ประชากรกลุ่มต่าง ๆ
ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การลดความเหลื่อมล้ำและความแตกต่างของรายได้
เป็นเรื่องสำคัญที่ภาครัฐให้ความสำคัญและมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมมากขึ้นผ่านกลไกของภาครัฐและความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างอาชีพและรายได้
การจัดสวัสดิการทางสังคม ทั้งในด้านการศึกษา สาธารณสุข และที่อยู่อาศัย
โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยมีการกระจายรายได้
ในด้านความแตกต่างของรายได้ระหว่างประชากรร้อยละ 10
ที่มีรายได้สูงที่สุดต่อประชากรร้อยละ 10
ที่มีรายได้น้อยที่สุด ที่ไม่เกิน 15 เท่า (ปัจจุบัน 22 เท่า) ภายในปี 2580 หรือมีค่า GINI
coefficient ด้านรายได้ในระดับ 0.36
องค์การสหประชาชาติ
สะท้อนว่าการพัฒนาที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
มุ่งการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้นล้มเหลว
เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัจจัยสำคัญ 4 ประการ (Megatrends) ที่มีผลต่อความไม่เท่าเทียมกัน
ได้แก่ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของเมือง
และการย้ายถิ่นระหว่างประเทศ
ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร
“ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นจากการพัฒนา???”
คำว่าการพัฒนา
(Development)
ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 19
โดยนักเศรษฐศาสตร์ได้นำมาใช้เรียกการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในทวีปยุโรป
อันเป็นการเปลี่ยนแปลงการใช้แรงงานจากคนและสัตว์เป็นพลังงานจากเทคโนโลยี เช่น
เครื่องจักร เครื่องยนต์ต่างๆ ทำให้วิถีการดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
นักเศรษฐศาสตร์จึงนำคำว่าการพัฒนามาใช้เพื่อเรียกวิธีการยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของชาวยุโรปในขณะนั้นให้สูงขึ้น
(ประสิทธิ์ สวาญาติ, 2518: 26-27 อ้างใน สนธยา พลศรี,
2547: 8)
หลังสงครามโลกครั้งที่
2 เป็นต้นมาประเทศต่าง ๆ ต้องทำการปรับปรุงแก้ไขสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ
และการเมือง ให้คืนสู่สภาพเดิม บางประเทศได้รับเอกราชให้ปกครองตนเอง
จึงต้องหาแนวทางในการพัฒนาประเทศของตน ทำให้คำว่าการพัฒนา แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
ในปี ค.ศ.1960 John F. Kenedy ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้นได้เสนอให้องค์การสหประชาชาติกำหนดให้ปี
ค.ศ.1960-1969
เป็นทศวรรษแห่งการพัฒนาของโลกซึ่งเป็นที่ยอมรับ
และองค์การสหประชาชาติยังประกาศให้ปี ค.ศ.1970-1979
เป็นทศวรรษที่สองของการพัฒนาโลกต่อไป (สมยศ ทุ่งหว้า, 2534: 178-179 อ้างใน สนธยา พลศรี, 2547: 8) ซึ่งนับว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ประเทศต่าง
ๆ นำคำว่าการพัฒนาไปใช้และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในปัจจุบัน
ในขณะเดียวกันวาทกรรมความด้อยพัฒนา
ก็ได้ถูกสถาปนาขึ้นมาพร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของวาทกรรมการพัฒนา
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2545) สรุปว่า
ความด้อยพัฒนา (Underdevelopment or Less-development) เป็นคำที่มีความหมายค่อนข้างในทางลบเมื่อพูดถึงประเทศหนึ่งประเทศใด
ความด้อยพัฒนาที่พบเห็นโดยทั่วไปมักจะใช้กับประเทศในโลกที่สาม (The Third
World) ที่มีลักษณะของความล้าหลัง (Backwardness) กล่าวคือประชาชนยังมีฐานะยากจน ประชาชนมีสุขภาพอนามัยไม่แข็งแรง
หรือเต็มไปด้วยโรคระบาด มีความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมที่ไม่อาศัยเทคโนโลยีใด ๆ
ทั้งสิ้น
ไชยรัตน์
เจริญสินโอฬาร (2549) อธิบายไว้ว่า
การพัฒนา (Development) เป็นประดิษฐกรรมทางประวัติศาสตร์ยุคใหม่
ที่ได้รับความนิยมกันอย่างรวดเร็วและแพร่หลายในสังคมยุคปัจจุบัน
การพัฒนาถูกสร้างขึ้นมาโดยประเทศมหาอำนาจตะวันตกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความหมายของการพัฒนาค่อนข้างมีความเป็นพลวัตรมีการเปลี่ยนแปลงตลอด
ในยุคเริ่มแรกของการพัฒนานั้น การพัฒนาหมายถึงการทำให้ทันสมัยอย่างสังคมตะวันตกโดยให้น้ำหนักไปที่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ
การพัฒนาอุตสาหกรรม และการพัฒนาการเมือง ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
“ทฤษฎีการทำให้ทันสมัย” (Modernization Theory) เมื่อเวลาผ่านมาจนผลของการพัฒนาได้ปรากฏให้ผู้คนในสังคมได้เห็นชัดว่าการพัฒนาได้ก่อให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ผู้คนในสังคมจำนวนมากยากจนลง
แต่ผู้คนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการพัฒนา จนมีที่มาของคำว่า
“ด้อยพัฒนา”
จึงทำให้เริ่มมีผู้คนในแวดวงการพัฒนาเริ่มออกมาต่อต้านแนวคิดการพัฒนาตามแบบของทฤษฎีความทันสมัย
ก่อให้เกิดการต่อสู้กันทั้งทางแนวคิด ทฤษฎี
และวาทกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามากมายในปัจจุบัน เช่น
การก่อเกิดของทฤษฎีพึ่งพิง (Dependency Theory) ทฤษฎีระบบโลก
(World System Theory) และแนวความคิดว่าด้วยความด้อยพัฒนาแนวมาร์กซิสต์ใหม่
(Neo-Marxist) ทั้งหลายเป็นต้น
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย
ประเทศไทยในช่วงก่อนและต้นของการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่หนึ่ง
(พ.ศ. 2504
– 2509) ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยอยู่ในสาขาเกษตร
มีการลงทุนการใช้ที่ดินต่ำ ระดับ การใช้เทคโนโลยีและเทคนิคต่าง ๆ ล้าสมัย การถือครองที่ดินทางการเกษตรมีขนาดเล็ก
เกษตรกรมีหนี้สินมาก (ถวัลย์ พลพืชน์, 2513: 46) ซึ่งลักษณะดังกล่าวของประเทศไทย
ถูกทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยากจนและล้าหลังในสายตาของประเทศที่พัฒนาแล้ว
ในสมัยที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีมา
และใช้วิธีการพัฒนาประเทศตามแบบประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา
บทบาทที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาและธนาคารโลกที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของไทยปรากฏชัดเจนในรายงานชื่อ
“A Public Development Program for Thailand” ซึ่งเป็นรายงานที่จัดทำขึ้นโดยธนาคารโลก
(World bank) ซึ่งในขณะนั้นใช้ชื่อว่าธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาระหว่างประเทศ
“The International Bank for Reconstruction and Development” โดยในรายงานดังกล่าวได้มีการวิเคราะห์สถานภาพของประเทศไทย
และมีข้อแนะนำด้านการพัฒนาต่าง ๆ
ซึ่งนำมาเป็นแนวทางหลักในการเขียนแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่หนึ่งของไทย
“เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน”
สะท้อนผลการพัฒนาประเทศนับแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่หนึ่ง
ซึ่งการสะท้อนผลการพัฒนาดังกล่าวปรากฏในส่วนที่ 1 สรุปสาระสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544) ซึ่งเป็นบทวิเคราะห์ที่สะท้อนให้เห็นผลการพัฒนาที่ผ่านมาในช่วงแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 1 – 7 (พ.ศ.2504 – 2539) จนเป็นที่มาของ
“การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการวางแผนการพัฒนาประเทศ” นับตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 เป็นต้นมาโดยเน้นการพัฒนาแบบองค์รวม (Holistic) ทั้งด้านการวางแผนและการดำเนินโครงการพัฒนา
ไม่แยกพัฒนาเป็นส่วน ๆ ตามรายสาขาของเศรษฐกิจและสังคม หรือเป็นส่วน ๆ
ตามพันธกิจของหน่วยงานต่าง ๆ เหมือนการพัฒนาสมัยแผนพัฒนาฯ ฉบับ 1 – 7 เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
มีส่วนร่วมการตัดสินใจในโครงการพัฒนาต่าง ๆ แบบ “ร่วมคิด ร่วมทำ”
เป้าหมายสำคัญคือความสุมดุลในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้านคน สังคม เศรษฐกิจ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของโลก
องค์การสหประชาชาติ
กำหนดให้ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นวาระสำคัญของการพัฒนาโลก โดยเป้าหมายที่ 10 ของ SDGs กำหนดเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำภายในและระหว่างประเทศ
(Reduce inequality within and among countries) ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของโลก
สรุปได้ 3 ประเด็น ดังนี้
1)
การส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกัน (Promote equal
access to opportunities) โดยการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง
ช่วยขยายโอกาสและส่งเสริมการกระจายความสามารถที่เท่าเทียมกันมากขึ้น
2)
สร้างสภาพแวดล้อมของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้อต่อการลดความเหลื่อมล้ำ
(Institute a macroeconomic policy environment conducive to reducing
inequality) โดยกำหนดนโยบายการเงินให้สามารถส่งเสริมความเท่าเทียมที่มากขึ้น
ส่งเสริมการกระจายรายได้แล้ว การระดมทรัพยากรสำหรับนโยบายทางสังคม การคุ้มครองทางสังคม
กำหนดวิธีการจัดสรรภาษีที่เป็นธรรม
3)
จัดการกับอคติและการเลือกปฏิบัติ
และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง (Tackle prejudice and discrimination and promote the
participation of disadvantaged groups in economic, social and political life) ด้วยการแก้ไขกฎหมายและกำหนดนโยบายเพื่อลดการเลือกปฏิบัติ
ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี และวางรากฐานเพื่อความเป็นธรรม
แนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(2564)
ได้จัดทำร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) มีวัตถุประสงค์เพื่อ
“พลิกโฉมประเทศไทยสู่ สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน”
โดยได้กำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัด
ที่เกี่ยวข้องกับการลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน ไว้ว่า
รายได้ประชาชาติต่อหัวเท่ากับ 8,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) อยู่ในระดับสูงมาก
เท่ากับ 0.820
และความแตกต่างของความเป็นอยู่ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ
10 และต่ำสุดร้อยละ 40 (Top 10 / Bottom 40) ต่ำกว่า 5 เท่า
แผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ได้กำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายการพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
ตามหมุดหมายการพัฒนา ดังนี้หมุดหมายที่ 1
ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง เป้าหมายที่ 3
เพิ่มศักยภาพและบทบาทของผู้ประกอบการเกษตรในฐานะหุ้นส่วนเศรษฐกิจของห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับส่วนแบ่งประโยชน์อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
ตัวชี้วัดที่ 3.1 จำนวนสหกรณ์ภาคเกษตรในชั้นที่ 1 ตามเกณฑ์การจัดระดับความเข้มแข็งสหกรณ์เพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 18 เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ตัวชี้วัดที่ 3.2 จำนวนกลุ่มเกษตรกรในชั้นที่ 1
ตามเกณฑ์การจัดระดับความเข้มแข็งกลุ่มเกษตรกรเพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 6 เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
โดยกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ดังนี้
กลยุทธ์ที่
7 การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการฟาร์มและกิจกรรมหลังการเก็บเกี่ยว
เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าผลผลิตของเกษตรกร กลยุทธ์ย่อยที่ 7.1 สนับสนุนบทบาทสถาบันเกษตรกร (สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน)
ในฐานะหน่วยธุรกิจของเกษตรกร
ให้ทำหน้าที่สนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการฟาร์ม
กิจกรรมหลังการเก็บเกี่ยว และกระบวนการนำส่งผลผลิตจนถึงลูกค้าปลายทาง
เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเกษตรกร
กลยุทธ์ที่
11 การยกระดับขีดความสามารถของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร กลยุทธ์ย่อยที่ 11.2
ยกระดับความความเข้มแข็งและความสามารถในการดำเนินธุรกิจเพิ่มมูลค่าของสหกรณ์การเกษตร
กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน
รวมทั้งสนับสนุนบทบาทภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาทั้งระดับอาชีวศึกษา
และอุดมศึกษาในพื้นที่ในการเป็นผู้ให้บริการ ผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยี
และที่ปรึกษาทางธุรกิจ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล องค์ความรู้
และเทคโนโลยีกับการปรับเปลี่ยนและต่อยอดธุรกิจการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์ย่อยที่ 11.3
ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการพัฒนาสหกรณ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและเอื้อกับการสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์
อาทิ
การปรับปรุงระบบการจัดทำบัญชีและการตรวจสอบทางการเงินให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส
และเป็นอิสระ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์
และสร้างความเชื่อมั่นของสมาชิกและประชาชนต่อระบบสหกรณ์
กลยุทธ์ที่
12 การพัฒนากลไกเพื่อเชื่อมโยงภาคีต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชน ส่วนราชการ
กลุ่มเกษตรกร และนักวิชาการในพื้นที่ ในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในการพัฒนาภาคเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน
กลยุทธ์ย่อยที่ 12.1
สนับสนุนบทบาทองค์กรหรือสภาเกษตรกรในกลไกความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน
และภาควิชาการในแต่ละจังหวัด
เพื่อเชื่อมโยงการผลิตของเกษตรกรและการดำเนินธุรกิจการเกษตรของสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่
ความต้องการของภาคเอกชนในระดับจังหวัด การดำเนินภารกิจของส่วนราชการระดับจังหวัด
และความเชี่ยวชาญของสถาบันการศึกษาในพื้นที่
เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการแบ่งปันข้อมูล องค์ความรู้
ทักษะ และผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและเหมาะสมกับบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ
กลยุทธ์ย่อยที่ 12.2
ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสถาบันเกษตรกร
และเกษตรกรในรูปแบบธุรกิจต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด
โดยมีการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
หมุดหมายที่
8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน
เป้าหมายที่ 3 การพัฒนาเมืองให้มีความน่าอยู่ อย่างยั่งยืน
มีความพร้อมในการรับมือและปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ
เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึง กลยุทธ์ที่ 1 การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก กลยุทธ์ย่อยที่ 1.2 สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน
โดยสร้างเสริมองค์ความรู้ให้กับชุมชน จากสถาบันการศึกษาในพื้นที่
เพื่อสร้างความสามารถในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์
ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงศักยภาพของพื้นที่
ส่งเสริมการพัฒนาการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน มีความปลอดภัย
โดยใช้งานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการวางแผนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์
ยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน
สนับสนุนการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่าย ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการถือหุ้นโดยสมาชิกในชุมชน
สร้างความเข้มแข็งสถาบันการเงินในระดับชุมชน
เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการและธุรกิจในชุมชน
โดยให้สถาบันการเงินในพื้นที่มีบทบาทในการทำหน้าที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารเงินทุน
สภาพคล่อง และการบริหารจัดการหนี้สินอย่างเป็นระบบ และพัฒนาสินเชื่อรูปแบบใหม่ ๆ
ที่สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพของชุมชน กลยุทธ์ย่อยที่ 1.3 ส่งเสริมการจัดการกลไกตลาดของท้องถิ่น
เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคในพื้นที่
รวมทั้งสร้างรายได้จากตลาดภายนอก โดยส่งเสริมนวัตกรรมการจัดการห่วงโซ่อุปทำนในระดับพื้นที่
เพื่อลดความสูญเสียเนื่องจากการผลิตมากเกินความต้องการ
ลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่งสินค้าระหว่างพื้นที่และภูมิภาค
รวมทั้งรักษาคุณภาพของผลผลิต
สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการกระจายสินค้าและบริการให้หมุนเวียนในพื้นที่และเมือง
ในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกลุ่มเกษตรกร
กระตุ้นกำรบริโภคให้สอดคล้องและสมดุลกับการผลิตในท้องถิ่น
ตามแนวทางการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน
ปรับแก้กฎระเบียบและนโยบายของภาครัฐที่ก่อให้เกิดการรวมศูนย์สินค้าเกษตรบางประเภท
และเป็นอุปสรรคในการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ผลิตในพื้นที่เดียวกับการบริโภค
สหกรณ์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
วิธีการสหกรณ์
เป็นแนวคิดสำคัญในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์การพัฒนาประเทศ
ด้วยสหกรณ์เป็นรูปแบบการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้คนที่มารวมตัวกันเป็นองค์กรธุรกิจ
ผู้คนในสังคมที่มารวมตัวกันเป็นสหกรณ์นั้นเป็นผู้ที่มีปัญหาและมีความต้องการเหมือนกัน
คล้ายกัน มีความเชื่อร่วมกันเกี่ยวกับการพึ่งพาช่วยเหลือตนเองและระหว่างกัน
มุ่งใช้การสหกรณ์ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจในสังคม
ให้ความสำคัญของพลังการรวมคนมากกว่าพลังการรวมเงินหรือทรัพย์สิน
เน้นการดำเนินธุรกิจระหว่างกันเองของสมาชิก
กำไรส่วนเกินที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจใช้แบ่งปันกันอย่างเป็นธรรมเท่าเทียมตามสัดส่วนที่สมาชิกแต่ละคนดำเนินธุรกิจกับสหกรณ์
ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาสังคมให้แก่สมาชิก และสังคมภายนอก
ระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์
มีแนวทางชัดเจนในการลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการสะสมกำไรส่วนเกินที่มาจากการสร้างกำไรจากการลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะด้านแรงงาน
ด้านการแย่งชิงเอาทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นปัจจัยการผลิตให้ได้มากที่สุด
ตลอดจนด้านการขายสินค้าและบริการให้ได้มากที่สุด
ระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์มุ่งแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
นอกจากสหกรณ์มุ่งลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการสะสมกำไรส่วนเกินดังกล่าวแล้ว
ยังหนุนเสริมความเท่าเทียม ความเป็นธรรมทางด้านเศรษฐกิจ
โดยไม่ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกในด้านความสัมพันธ์ทางการผลิต
ปัจจัยการผลิตของบรรดาสมาชิก ยังคงเป็นกรรมสิทธิของสมาชิก
ขณะที่ปัจจัยการผลิตของสหกรณ์ก็นับว่าเป็นของสมาชิก
โดยสมาชิกทั้งหมดร่วมกันเป็นเจ้าของ
สมาชิกทั้งหมดมีอำนาจในการบริหารจัดการบรรดาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ
ตลอดจนบริหารกำไรส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานและดำเนินธุรกิจของสหกรณ์
การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วยวิธีการสหกรณ์ให้บรรลุเป้าหมาย
“การพัฒนาที่ยั่งยืน”
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยและถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาที่นำแนวคิดสหกรณ์ไปเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน
นำผลการศึกษามาเผยแพร่สร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชนโดยทั่วไปอย่างต่อเนื่อง
ส่งเสริมให้สหกรณ์ร่วมกันขับเคลื่อนแนวคิดสหกรณ์
อย่างจริงจังผ่านแผนงาน/โครงการต่าง ๆ โดยมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
หนุนเสริมให้สหกรณ์มีอิสระในการพัฒนาตนเองตามแนวทางของผู้ริเริ่มการสหกรณ์
ต้องส่งเสริมและคุ้มครองระบบสหกรณ์ ส่งเสริมการนำคุณค่า อุดมการณ์ หลักการ
และวิธีการสหกรณ์ เป็นแนวทางในการพัฒนาสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร ชุมชน และสังคม
ด้วยวิธีการเชิงคุณภาพซึ่งเกิดจากกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง รัฐ สหกรณ์
และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง