สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) กษัตริย์กรีกได้เดินทัพจากยุโรปมาเอเชียในสมัยนั้น ทำให้โลกตะวันตกและตะวันออกเชื่อมถึงกันเป็นครั้งแรก ต่อมา ในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ (Emperor Wu of Han) จักรพรรดิจีนราชวงศ์ฮั่น (Han Dynasty) ได้ส่งเสริมให้มีการค้าขาย-แลกเปลี่ยนสินค้ากับชนเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่บนเส้นทางที่เรียกว่า “ทางสายไหม (Silk Road)” สินค้าที่สำคัญในตอนนั้นก็คือหยกและผ้าไหม
เส้นทางสายไหม เป็นเครือข่ายการค้าโบราณที่เชื่อมต่อชุมชนต่าง
ๆ เข้าด้วยกัน ผ่านกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางจากประเทศของตนไปค้าขายยังดินแดนต่าง
ๆ เส้นทางสายไหมมีระยะทางยาวกว่า
4 พันไมล์
เริ่มต้นจากเมืองฉางอัน (Chang’an) ทางตอนกลางของประเทศจีน
ข้ามผ่านทะเลทรายในเอเชียกลางไปสิ้นสุดที่เมืองแอนติออค (Antioch) ในประเทศตุรกี
เส้นทางสายไหมไม่ได้มีเฉพาะเส้นทางบกเท่านั้น ทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) ก็มีความสำคัญ
โดยได้เชื่อมต่อแผ่นดินจีนกับเมืองท่าต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมถึงภาคใต้ของไทยในสมัยโบราณ
ก่อนข้ามผ่านมหาสมุทรอินเดียและทะเลแดงไปบรรจบที่กรุงโรม ศูนย์กลางของโลกในขณะนั้น
เส้นทางสายไหมถูกลดความสำคัญลง
เมื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียนค้นพบทวีปอเมริกาใน ค.ศ. 1492 ชาวตะวันตกหันไปแสวงหาความมั่งคั่งจากทวีปใหม่
เกิดเป็นเส้นทางการค้ามหาสมุทรแอตแลนติกที่เชื่อมต่อยุโรป แอฟริกา
และอเมริกาเข้าด้วยกัน เส้นทางสายไหมที่มีมาแต่โบราณจึงหมดความสำคัญลงในเวลาต่อมา
(https://www.moneybuffalo.in.th/his.../introduction-silk-road)
ปี พ.ศ. 2556 ธานาธิบดี สี
จิ้นผิงประกาศยุทศาสตร์การพัฒนา One
Belt One Road (OBOR) เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อระหว่างจีนกับบรรดาประเทศต่าง ๆ
ที่อยู่บนเส้นทางระหว่างจีนกับยุโรป OBOR แสวงหาการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นนฐานด้านการคมนาคม
พลังงาน การค้า และการสื่อสาร รวมทั้งด้านอื่น ๆ
มุ่งผลักดันการเชื่อมโยงและเส้นทางการค้าในภูมิภาค เพิ่มบทบาทของบริษัทจีนในเวทีสากล
และเพิ่มการเข้าถึงตลาดโลกของจีน เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากยุทธศาสตร์ออกสู่ตลาดโลก
(Going Out Strategy) ของจีน
OBOR เปรียบเสมือนเส้นทางสายไหมใหม่
(New Silk Road) ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
วงแหวนเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมทางบก และเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 โดยวงแหวนเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมทางบก
มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมจีนกับยุโรปผ่านทางเอเชียกลางและเอเชียตะวันตก
ส่วนเส้นทางสายไหมทางทะเล จะเชื่อมจีนกับยุโรป
ผ่านเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และแอฟริกา
นอกจากสองเส้นทางการเชื่อมต่อหลักดังกล่าว OBOR ยังรวมถึงการพัฒนาโครงข่ายการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ
และเส้นทางเพิ่มเติมที่จะเชื่อมต่อกับ 2 ระเบียงเศรษฐกิจสำคัญ
วิสัยทัศน์ OBOR ให้ความสำคัญกับศักยภาพของการขยายความร่วมมือและการลงทุน
เพื่อผลประโยชน์ของจีน และของบรรดาประเทศที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังอยู่ในระดับด้อยพัฒนา
การเพิ่มขึ้นของแหล่งเงินทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานจะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากบรรดาประเทศตลอดเส้นทาง
OBOR อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้โครงการฯ จะสามารถบรรลุพันธะสัญญาที่ว่าจะพัฒนาแบบ “ได้กันทั้งสองฝ่าย” (WIN-WIN) จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนให้การไหลเวียนของการเงินโครงการจะมีความยั่งยืน
ไม่ก่อผลกระทบอันตราย และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงกับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ (Inclusive Development International,
Online)
OBOR แบ่งเป็นเส้นทางสายไหมทางบก
(Silk Road Economic Belt : One Belt) และเส้นทางสายไหมทางทะเล
(Maritime Silk Road : One Road) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย
ยุโรป และแอฟริกาเข้าด้วยกัน OBOR
จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประชาคมโลก
เนื่องจากเป็นนโยบายการพัฒนาที่มีมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
และเป็นนโยบายที่มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากที่สุดของโลก ทั้งนี้ เพราะ OBOR เชื่อมโยง 65 ประเทศ ใน 6 ภูมิภาค ได้แก่
เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ
เอเชียใต้ และยุโรป ประเทศต่าง ๆ ที่อยู่บน OBOR มีประชากรวมกัน คิดเป็นร้อยละ 62.3 ของทั้งประชากโลก
มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
รวมกัน คิดเป็นร้อยละ 30 ของ GDP โลก
และมีการบโภคภาคครัวเรือนคิดเป็นร้อยละ 24 ของการบริโภคในครัวเรือนของทั้งโลก และ OBOR จะเป็นโครงการที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด
(http://www.cuti.chula.ac.th/triresearch/saimai/2/saimai.html)
แม้ประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจใด
ๆ ภายใต้โครงการ OBOR แต่ไทยมีปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการที่จะแสดงบทบาทนำในการเป็นผู้ประสานงานของอาเซียนกับจีน
ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงโครงการต่าง ๆ ระหว่างจีน - อาเซียน
อันจะเป็นการเพิ่มบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
รวมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์ไทย – จีน ให้แน่นแฟนมากขึ้น (http://www.cuti.chula.ac.th/trir.../saimainew/saimainew.html)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น