ความรู้ความเข้าใจเรื่องการสหกรณ์ (Cooperative Literacy)
ตอนที่ 8 :
กำไรในระบบสหกรณ์ (ฉบับพอสังเขป)
ผมมีความสงสัยใคร่รู้ว่าสหกรณ์เป็นองค์กรแสวงหากำไรอย่างองค์กรธุรกิจอื่นๆ
ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือไม่ จึงได้ศึกษาหาความรู้ พอสังเขปดังนี้
ในทางเศรษฐศาสตร์
“กำไร” หมายถึง ส่วนต่างที่เกิดขึ้นเนื่องจากการนำ “รายได้รวม” กับ
“ค่าใช้จ่ายรวม” ซึ่งมักจะเรียกอย่างเป็นทางการว่า “กำไรสุทธิ” ของธุรกิจ
ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ของ
Marx
ในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” อธิบายเกี่ยวกับ “ทฤษฎีมูลค่าส่วนเกิน” ว่า “การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานขึ้นจากระดับต่ำสุดนั้น
ทำให้เกิดส่วนเกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นทุกช่วง
และเมื่อใดก็ตามที่มีผลผลิตส่วนเกินขึ้นมาก็หมายความว่ามนุษย์สามารถผลิตได้มากกว่าที่ตนจำเป็นต้องบริโภค
และดังนั้นก็จำต้องมีการกำหนดเงื่อนไขเพื่อต่อสู้กันว่า ส่วนเกินที่เกิดขึ้นนี้จะถูกแบ่งกันอย่างไร
มูลค่าส่วนเกินจะเท่ากับมูลค่าแรงงานที่ถูกสร้างขึ้นมาเกินไปจากต้นทุนที่ตัวแรงงานได้รับ
เป็นวิธีของนายทุนที่จะแสวงหากำไรจากการขายสินค้า”
จากสมการ กำไร
= รายได้ - รายจ่าย ฉะนั้นถ้าอยากมีกำไรมาก ๆ ก็ต้องลดต้นทุนให้ต่ำลงที่สุด
แต่การลดต้นทุนนั้นจะเป็นหนทางไหนอย่างไร จะยุติธรรม เป็นธรรมหรือไม่
ก็แล้วแต่อุดมการณ์ของผู้ประกอบกิจการ
พระราชบัญญัติสหกรณ์
พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 4 "สหกรณ์" หมายความว่า
คณะบุคคลซึ่งร่วมกันดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกสหกรณ์ผู้มีสัญชาติไทย
โดยช่วยตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
แล้วกำไรในระบบสหกรณ์เป็นอย่างไร
อาบ นคะจัด (2536) อธิบายว่า
สหกรณ์คือองค์กรธุรกิจประเภทหนึ่งในระบบเศรษฐกิจการตลาดของประเทศไทย
มีลักษณะคล้ายกับหุ้นส่วนและบริษัท ตามมาตรา 1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
องค์การธุรกิจนิติบุคคลตามกฎหมายสหกรณ์ต่างจากองค์กรธุรกิจตาม ป.พ.พ.
ในเรื่องสำคัญคือ วัตถุประสงค์และหลักการขององค์การธุรกิจต่างกัน
และตั้งขึ้นตามกฎหมายที่ต่างกัน สหกรณ์มีวัตถุประสงค์ “เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ส่วนวัตถุประสงค์ของหุ้นส่วนและบริษัทคือ
“ประสงค์จะแบ่งกำไรอันพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น” แม้กฎหมายสหกรณ์จะกำหนดเรื่องการจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีของสหกรณ์
แต่คำว่ากำไรสุทธิที่บัญญัตินั้นเป็นเพียงคำศัพท์ทางการบัญชี ไม่ใช่กำไรตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1012 เพราะในสหกรณ์เจ้าของและลูกค้าคือบุคคลคนเดียวกัน
ราคาสินค้าและบริการที่สหกรณ์กำหนดขึ้น คือค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่สหกรณ์เรียกจากสมาชิก
เมื่อสิ้นปีการบัญชี หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว มีเงินเหลือจ่ายสุทธิ (กำไรสุทธิ)
เท่าใด จึงต้องจัดสรรตามกฎหมายสหกรณ์
ทั้งนี้กฎหมายสหกรณ์ มีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ระบบสหกรณ์มีความเข้มแข็งและสามารถดำเนินกิจการได้ด้วยตนเอง
การบริหารจึงต้องดำเนินการโดยสมาชิกตามวิถีทางประชาธิปไตย
อันเป็นการวางรากฐานของระบบเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานของประชาชน และเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติ
มาตรา 45 และมาตรา 85 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
ซึ่งกำหนดให้บุคคลมีเสรีภาพ ในการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์โดยรัฐมีหน้าที่ในการส่งเสริม
สนับสนุน และคุ้มครองระบบสหกรณ์
นุกูล กรยืนยงค์ (2554)
อธิบายว่า สหกรณ์มีความแตกต่างจากธุรกิจอื่นตรงที่การรวมตัวกันของประชาชนเพื่อ
ก่อตั้งสหกรณ์ และนำเงินมาลงทุนร่วมกันนั้น มิใช่เพื่อทำการค้ากับบุคคลอื่น
หากแต่เป็นเพราะต้องการใช้สินค้าหรือบริการนั้นสำหรับตนเองเป็นประการสำคัญ มุ่งให้บริการแก่สมาชิกเป็นหลัก
เป็นการสร้างประโยชน์ขึ้นแก่ตนเอง บริการตนเองโดยการร่วมกันทำ
ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ มิใช่เป็นการเรียกร้องจากผู้อื่น สหกรณ์ผู้บริโภคไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาผลกำไรจากการทำธุรกิจ
เนื่องจากทั้งเจ้าของและผู้ใช้บริการ (ลูกค้า) เป็นคนเดียวกัน
หรือในกรณีที่เป็นสหกรณ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อการผลิตโดยมีสมาชิกเป็นเจ้าของและผู้ใช้แรงงาน
ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นที่เจ้าของจะเอาเปรียบผู้ใช้แรงงานเพราะเป็นคนเดียวกัน
ไม่ว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะตกแก่เจ้าของ หรือแรงงาน
ก็ย่อมเป็นของคนเดียวกันทั้งหมด
กำไรเป็นของสมาชิก
(ไม่ใช่ของสหกรณ์) เนื่องจากสหกรณ์มีเป้าหมายหลักในการทำธุรกิจกับสมาชิก
และมักใช้นโยบายราคาตลาดด้วยเหตุผลสำคัญ คือการหลีกเลี่ยงสงครามราคา ดังนั้น "กำไร"
จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากการดำเนินงานตามปกติ ของสหกรณ์
และถือว่าเป็นของสมาชิกทุกคนที่ทำธุรกิจกับสหกรณ์ ผู้ที่ทำธุรกิจกับสหกรณ์มากก็มีส่วนทำให้เกิดผลกำไรมากตามส่วน
ดังนั้น สหกรณ์จึงมีวิธีการคืนกำไรนั้นกลับไปให้สมาชิกตามส่วนของการใช้บริการ
โดยให้ที่ประชุมใหญ่ของบรรดาสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาตัดสินใจ
มูลค่าหุ้นของสหกรณ์จะคงที่
ไม่มีขึ้นลงเป็นมูลค่าเดียวกับมูลค่าที่ตราไว้
แต่จำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายจะไม่มีจำนวนจำกัด
เนื่องจากหุ้นของสหกรณ์ไม่ใช่เงินลงทุนที่ใช้แสวงหาผลประโยชน์
แต่เป็นการลงทุนเพื่อผูกพันสมาชิกกับสหกรณ์
ในฐานะที่เป็นเจ้าของและเพื่อให้ได้สิทธิในการใช้บริการในสหกรณ์ในฐานะสมาชิก
เงินทุนที่ได้จากสมาชิกในฐานะผู้เป็นเจ้าของกิจการ มีหน้าที่อย่างเดียวคือให้ดอกเบี้ยแก่สมาชิกในฐานะผู้ลงทุน และจะมีอัตราจำกัดเพียงเพื่อชดเชยค่าเสียโอกาสของเงินทุนดังกล่าว ด้วยเหตุที่สหกรณ์ให้ความสำคัญแก่การใช้บริการมากกว่าการลงทุนอย่างไรก็ตามในการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจสหกรณ์อาจมีทุนจากแหล่งอื่น ๆ หรือในลักษณะอื่น ๆ ที่ต้องให้ผลตอบแทน (ดอกเบี้ยจ่าย) สูง ในระดับเดียวกับอัตราตลาด ซึ่งเป็นการจัดหามาเพื่อความจำเป็นในการดำเนินธุรกิจ เป็นการดำเนินธุรกิจทั่วไป จึงไม่ถือเป็นเงินทุนจากสมาชิกในฐานะเจ้าของ แม้ว่าจะได้มาจากสมาชิกก็ตาม เช่น เงินฝากที่สมาชิกฝากไว้กับสหกรณ์ ซึ่งเป็นเงินทุนของสหกรณ์ที่มีสมาชิกอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าของ
ผมคงไม่อาจสรุปได้แบบเบ็ดเสร็จนะตอนนี้
เนื่องด้วยประสบการณ์และความรู้ยังน้อยนิดต้องเร่งศึกษา
เมื่อเติบใหญ่จะได้มีวิชาไว้ทำงานเป็นที่พึ่งพาของประชาชน แต่ก็เชื่อเกินร้อยละ 99
แล้วครับว่า สหกรณ์ไม่ใช่องค์กรทางเศรษฐกิจที่แสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน
แต่เป็นองค์กรทางเศรษฐกิจที่มุ่งให้เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิก ตามอุดมการณ์
หลักการ วิธีการ และคุณค่าสหกรณ์ เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข
มุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
เป้าหมายไม่ใช้การสั่งสมกำไรส่วนเกินเพื่อความมั่งคั่ง
แต่มุ่งสู่ความสามารถในการพึ่งตนเองได้ พึ่งพากันเองได้ ในลักษณะที่เป็นธรรม
และผาสุก
แม้จะมีการตอบข้อหารือ ข้อวินิจฉัย ของหน่อยงานต่าง ๆ ว่า “สหกรณ์เข้าข่ายเป็นองค์กรแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ” แต่นั้นก็เป็นเพียงการตีความตามกฎหมาย มิใช่การสรุปว่าสหกรณ์เป็นองค์กรที่แสวงหากำไรทางธุรกิจ อย่างเช่นเดียวกับองค์กรธุรกิจทั่วไปในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
เอกสารและสิ่งอ้างอิง:
1. https://th.wikipedia.org/wiki/มูลค่าส่วนเกิน
2. นุกูล
กรยืนยงค์. 2554. หลักและวิธีการสหกรณ์
Co-operative Principles and Practices.
เอกสารประกอบการบรรยายวิชาหลักและวิธีการสหกรณ์.
3. พระราชบัญญัติสหกรณ์
พ.ศ.2542
4. อาบ
นคะจัด. 2536. คำอธิบายกฎหมายสหกรณ์ในฐานะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเกษตรและสถาบันเกษตรกรโดยย่อ. สถาบันเทคโนโลยีสังคม (เกริก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น