1. กรอบในการวิเคราะห์
1.1 วัตถุนิยมแบบประวัติศาสตร์ (Historical
Materialism)
การวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์
ด้วยการมองประวัติศาสตร์แบบวัตถุนิยม (The Materialist Conception
of History) หรือวัตถุนิยมแบบประวัติศาสตร์ (Historical Materialism)
ของ Karl Mark ดังนี้
ในการผลิตของสังคมที่มนุษย์กระทำไปนั้น
มนุษย์จะเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่แน่นอนซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเป็นอิสระจากความปรารถนาของมนุษย์ ความสัมพันธ์ในการผลิต (Relations
of Production) นี้จะสอดคล้องกับลำดับขั้นพัฒนาการเฉพาะของพลังการผลิตทางวัตถุ
(Material Productive Forces) ความสัมพันธ์ในการผลิตทั้งหมดรวมกันเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจ
(Economic Structure) ของสังคม
เป็นพื้นฐานที่แท้จริงซึ่งบนพื้นฐานนี้มีโครงสร้างส่วนบนด้านกฎหมายและการเมือง (Legal
and Political Super-Structure) ผุดขึ้น และมีจิตสำนึกของสังคม (Social
Consciousness) ในรูปแบบเฉพาะที่สอดคล้องกับโครงสร้างส่วนบน
แบบการผลิต (Mode of Production) ของชีวิตวัตถุกำหนดกระบวนการทางสังคม
การเมืองและปัญญาโดยทั่วไปของชีวิต ไม่ใช่จิตสำนึกของมนุษย์ที่กำหนดความเป็นอยู่ (Being)
แต่ตรงข้ามความเป็นอยู่ในสังคม (Social Being) ของมนุษย์ต่างหากที่กำหนดจิตสำนึกของมนุษย์ ณ
ลำดับขั้นหนึ่งของการพัฒนาของมนุษย์
พลังการผลิตทางวัตถุของสังคมจะขัดแย้งกับความสัมพันธ์ทางการผลิตที่เป็นอยู่
หรือไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากที่เรียกสิ่งเดียวกันนี้ทางด้านกฎหมายว่า
ขัดแย้งกับความสัมพันธ์ทางกรรมสิทธิ์ ซึ่งพลังการผลิตดำเนินงานอยู่ภายใต้มาก่อน
จากรูปแบบการพัฒนาของพลังการผลิต ความสัมพันธ์ทางกรรมสิทธิก็กลายเป็นสิ่งขัดขวาง
จากนั้นจะเกิดยุคการปฏิวัติทางสังคม (Social Revolution) ด้วยการเปลี่ยนแปลงฐานเศรษฐกิจโครงสร้างส่วนบนอันมหึมาทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากบ้างน้อยบ้าง
(ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2546 : หน้า 151-152)
ในการพิจารณาประวัติศาสตร์จะต้องแยกออกเป็น
3 ส่วนคือ
1.
พลังการผลิต (Productive Forces) คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
คือวิธีการที่มนุษย์ขัดแย้งเอาชนะธรรมชาติเรียกว่าวิธีการผลิตหรือเทคโนโลยี
2.
ความสัมพันธ์ในการผลิต (Relations of Production) คือโครงสร้างเศรษฐกิจหรือระบบกรรมสิทธิ์
ซึ่งกำหนดว่าใครเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตนี้จะกำหนดต่อไปว่า
ใครจะได้ส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภค
3.
โครงสร้างส่วนบน (Superstructure) คือระบบกฎหมาย
ระบบการเมือง วัฒนธรรม และระบบความคิด
ส่วนที่เป็นพื้นฐาน คือ
พลังการผลิตและความสัมพันธ์ในการผลิตซึ่งรองรับโครงสร้างส่วนบน การมองประวัติศาสตร์แบบวัตถุนิยมมุ่งสนใจส่วนที่เป็นพื้นฐานนี้
กล่าวคือ สนใจการผลิต และการทำมาหากินของมนุษย์ว่าเป็นรากฐานประวัติศาสตร์
เมื่อพลังการผลิตเปลี่ยน จะทำให้ความสัมพันธ์ในการผลิตและระบบกรรมสิทธิ์เปลี่ยน
การขัดแย้งกับโครงสร้างส่วนบนซึ่งพยายามรักษาสถานะเดิมจะเกิดขึ้น
ทำให้เกิดการปฏิวัติสังคม และโครงสร้างส่วนบน
จะต้องเปลี่ยนจนสอดคล้องกับพลังการผลิตและระบบกรรมสิทธิ์ (ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2546 : หน้า
153)
ความผันแปรของสังคม
ถูกกำหนดโดยการพัฒนาของรูปแบบการผลิตมาตรฐาน
แห่งการพัฒนาของพลังการผลิตที่แตกต่างกัน กับความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ต่างกันซึ่งเหมาะสมกับมันนั้นเป็นสิ่งกำหนดลักษณะโฉมหน้าของสังคมทั้งหลาย
ระบบสังคม 5 ชนิด ซึ่งวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ
ถูกกำหนดโดยรูปแบบการผลิตกรรมอันเป็นพื้นฐาน 5 ชนิดคือ
1)
รูปแบบผลิตกรรมแห่งลัทธิสังคมคอมมิวนิสต์ยุคบุพกาล (Primitive
Society) สังคมคอมมิวนิสต์ยุคบุพกาลคือระยะแรกแห่งวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์
ซึ่งมีรูปแบบผลิตกรรมต่อไปนี้เป็นรากฐาน
1.1) สภาพพัฒนาการของพลังการผลิต คือ
จากการใช้เครื่องมือหยาบๆ ที่ทำด้วยหิน มาสู่การประดิษฐ์ธนู ศร เครื่องปั้นดินเผา
จนเริ่มมีการประดิษฐ์เครื่องมือโลหะ ส่วนความก้าวหน้าทางเทคนิคในการใช้แรงงานก็เริ่มจากการเที่ยวเสาะหาปัจจัยเลี้ยงชีพอย่างง่ายๆ
สู่การล่าสัตว์ จับปลา จนถึงสมัยต้นของการเพราะปลูก ระยะที่ผ่านมาตามลำดับนี้
พลังการผลิตมีการพัฒนาไปอย่างช้า ๆ อยู่ในมาตรฐานที่ต่ำมาก
ผลผลิตที่ได้จากการทำงานคงเพียงพอแก่ความต้องการสำหรับบริโภคในชีวิตเท่านั้น
แทบจะไม่มีผลผลิตส่วนเกิน
1.2) ลักษณะของความสัมพันธ์ทางการผลิต
ในสังคมไม่มีการขูดรีดผลิตผลส่วนเกินระหว่างกลุ่มชน
เนื่องจากไม่มีผลผลิตส่วนเกินให้ขูดรีด สมาชิกในสังคมมีการทำงานแบบรวมหมู่
ความสัมพันธ์ทางการผลิตในสมัยนี้จึงเป็นความสัมพันธ์แห่งระบอบคอมมิวนิสต์
ซึ่งปราศจากการขูดรีด
ปราศจากชนชั้นและปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนกลางของมวลสมาชิกในสังคม
ในสังคมระบอบคอมมิวนิสต์ยุคบุพกาลทั้งพลังการผลิต
และความสัมพันธ์ทางการผลิตต่างก็เปลี่ยนแปลงก้าวหน้าอย่างเชื่องช้า
มูลเหตุแห่งการกำเนิดระบบทรัพย์สินส่วนเอกชน
เริ่มจากการที่บุคคลของสังคมได้ผลิตเครื่องมือในการผลิตที่มาจากความชำนาญของตนเองและเป็นสมบัติคู่ชีวิตของบุคคลนั้นไปตลอด
เช่น เครื่องมือจับปลา เครื่องมือล่าสัตว์ เป็นต้น จนกระทั่งบุคคลนั้นตาย
เครื่องมือเหล่านั้นจงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวงศ์ตระกูล
ต่อมามีการแบ่งงานกันทำครั้งใหญ่ของสังคมเป็นครั้งแรก คือการเลี้ยงสัตว์
กับการเพาะปลูก และตามมาด้วยการแลกเปลี่ยนระหว่างเผ่า
ในปลายสังคมบุพกาลมีการทำสงครามระหว่างหมู่ชน
มีการเปลี่ยนแปลงจากการทำนารวมเป็นการทำนาขนาดย่อย เริ่มมีการแบ่งปันที่ดิน
และถือกรรมสิทธิที่ดินกันในที่สุด
2) รูปแบบการผลิตแห่งระบอบการครองทาส
(Slave Society)
สังคมทาสเป็นสังคมชนชั้นที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติมนุษยชาติ
มีรูปแบบการผลิตกรรมที่ก้าวหน้ากว่ารูปแบบผลิตกรรมของสังคมคอมมิวนิสต์บุพการ
โดยอยู่บนพื้นฐานต่อไปนี้
2.1) ด้านพลังการผลิต
มีการผลิตเครื่องมือโลหะ โดยเฉพาะเครื่องมือเหล็ก
และความก้าวหน้าทางเทคนิคในการทำงานที่เหมาะสมกับเครื่องมือดังกล่าว
มีการแบ่งงานทางสังคม ระหว่างกสิกรรมกับหัตถกรรมเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย
และการทำงานรวมหมู่ของทาส
2.2)
ด้านความสัมพันธ์ทางการผลิต
เจ้าของทาสได้ยึดถือกรรมสิทธิ์ปัจจัยการผลิตทั้งหมดรวมทั้งร่างกายของทาสด้วย
ซึ่งเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สินเอกชนโดยสมบูรณ์ การทำงานของทาสเป็นการทำงานโดยการถูกบังคับและขูดรีดโดยเจ้าของทาส
ความเสื่อมและความพินาศของระบบทาส
การขูดรีดอย่างทารุณ ของการใช้ทาสทำงาน
ความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตกับความสัมพันธ์ทางการผลิต
แสดงออกโดยการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างทาสกับเจ้าของทาส
ทำให้เกิดการจลาจลจนต้องมีการล้มเลิกระบบทาสในที่สุด
3) รูปแบบการผลิตแห่งลัทธิศักดินา
(Feudal Society)
3.1) สภาพการพัฒนาของพลังการผลิต
มีเครื่องมือเหล็กที่ค่อนข้างก้าวหน้า การผลิตแบบเอกชนขนาดย่อม
การกสิกรรมกับหัตถกรรมประสานกันในหน่วยครอบครัวทั้งหลายในชนบท เทคนิคในการกสิกรรม
และหัตถกรรมก้าวหน้าและประณีตกว่าก่อนมาก
3.2) ลักษณะแห่งความสัมพันธ์ทางการผลิต
ชนชั้นเจ้าของที่ดินศักดินาเป็นผู้ยึดครองปัจจัยการผลิตที่สำคัญ
ส่วนเครื่องมือทำงานเป็นสมบัติของคนทำงานทั้งหลาย
ชนชั้นเจ้าของที่ดินบีบบังคับให้คนทำงานต้องเข้าสังกัดต่อชนชั้นเจ้าของที่ดิน
ชนชั้นแรงงานต้องบรรณาการผลิตผลจากแรงงานส่วนเกินให้แก่ชนชั้นเจ้าของที่ดิน
คนทำงานในสังคมศักดินา (ส่วนใหญ่เป็นชาวนา)
แตกต่างกับพวกทาสตรงที่ร่างกายมิได้เป็นสมบัติของผู้ขูดรีด
และมีเครื่องมือการผลิตเป็นของตนเอง
แต่ระดับการขูดรีดนั้นไม่น้อยกว่าพวกทาสเท่าไรนัก
การต่อสู้ของชาวนากับการพังทลายของระบบศักดินา
ความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตกับความสัมพันธ์ทางการผลิตในสังคมศักดินาแสดงออกมาโดยการต่อสู้ระหว่างชนชั้นเจ้าที่ดินกับชาวนาและระหว่างชนชั้นเจ้าที่ดินกับประชาชน
4) รูปแบบการผลิตแห่งลัทธิทุนนิยม
(Capitalist Society)
4.1) ทางด้านพลังการผลิต เป็นการผลิตรวมหมู่ขนาดใหญ่
ซึ่งเริ่มจากโรงงานหัตถกรรมสู่การอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรกล
4.2) ทางด้านความสัมพันธ์ทางการผลิต
ชนชั้นนายทุนเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ปัจจัยการผลิตไว้ทั้งหมด
ส่วนคนทำงานนอกจากจะมีแรงงานของตนแล้ว ปราศจากทุกสิ่งทุกอย่างคนทำงานจะดำเนินการผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยเลี้ยงชีพ
มีทางที่จะทำได้ทางเดียวคือ การขายแรงงานให้แก่นายทุน เข้าทำงานในโรงงาน
ของนายทุนและยอมให้นายทุนขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากผลผลิตในการทำงานของตน
การต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพ
และการพังทลายของระบอบทุนนิยม การแสดงออกที่สำคัญก็คือการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างชนชั้นนายทุนกับชนชั้นกรรมมาชีพ
5) รูปแบบการผลิตแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communist
Society)
5.1) ทางด้านพลังการผลิต มีอุตสาหกรรม
วิสาหกิจขนาดใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งคืออุตสาหกรรมไฟฟ้าเป็นรากฐาน
วิถีดำเนินงานในการทำงาน วิถีดำเนินทางการผลิต
ก็ล้วนเป็นไปอย่างแพร่หลายในลักษณะสาธารณะสังคม
5.2)
ทางด้านความสัมพันธ์ทางการผลิต ปัจจัยการผลิตทั้งหมด เช่น เครื่องจักร
ป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ฯลฯ
ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์สาธารณะของสังคมทั้งสิ้น เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการดำรงชีพ
เช่น อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย
ตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นที่จำเป็นแก่การครองชีพ ทุกอย่างเป็นสมบัติของตน
แต่จะยึดครองกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตไม่ได้
จะมีได้ก็เพียงปัจจัยการผลิตที่ไม่สำคัญบางอย่าง เช่น สวนผักสวนครัว
และเครื่องมือทำสวนชิ้นเล็ก ๆ ของชาวนารวมเท่านั้น ในสังคมระบบคอมมิวนิสต์นี้
เมื่อเอกชนไม่สามารถยึดครองปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้ ดังนั้น
ก็ไม่อาจจะมีบุคคลใดที่จะอาศัยอำนาจในการยึดครองปัจจัยการผลิตมาดำเนินการขูดรีดรงงานส่วนเกินของผู้อื่นได้
6) ระบบการผลิตแบบเอเซีย (Asiatic
Mode of Production)
ระบบการผลิตที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศเอเชียส่วนใหญ่มีลักษณะจำเพาะในตัวของมันคือ
มีทั้งที่คล้ายคลึงกับระบบศักดินายุโรปและที่ไม่เหมือนก็มีเช่นกัน
ฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะจัดให้อยู่ในขั้นใดโดยเฉพาะ
ลักษณะของระบบการผลิตแบบเอเซียตามทฤษฎีวิเคราะห์ของMark สรุปลักษณะสำคัญดังนี้
1)
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลเหนือที่ดิน (Private
Ownership)
2) จากเหตุผลในข้อแรกประชาคมแห่งหมู่บ้านต่าง
ๆ ในสังคมเอเซียเหล่านี้
จึงสามารถรักษาความเป็นอยู่ดั้งเดิมและเอกภพของหมู่บ้านไว้ได้ (Essential
Cohesive Force) แม้จะได้ประสบกับการรุกรานจากภายนอกก็ตาม
3)
จากเหตุผลในข้อสองได้รับการสนับสนุนให้เหนียวแน่นขึ้น
จากการที่การเกษตรและอุตสาหกรรมภายในครัวเรือนถูกรวมกันอยู่ภายในหมู่บ้าน
4) ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ
ความเจริญของเกษตรกรรมในภูมิภาคนี้ จึงจำเป็นต้องมีการชลประทานอย่างมหาศาลต้องใช้กำลังมนุษย์อย่างมาก
และเป็นสิ่งจำเป็นก่อนหน้าที่จะเกิดความก้าวหน้าทางกสิกรรม
โครงการขนาดใหญ่ด้านชลประทานจึงต้องมีอำนาจจากส่วนกลางเป็นผู้ควบคุมอย่างใกล้ชิด
5) จากเหตุผลในข้อสี่
รัฐจึงมีอำนาจเด็ดขาดและสามารถสะสมรวบรวมเอาผลผลิตส่วนเกิน (Surplus-Product)
มาไว้ในกำมือ ซึ่งเป็นผลให้ชนชั้นในสังคมดังกล่าวที่มีบทบาทควบคุม
และมีกรรมสิทธิเหนือผลิตผลส่วนเกิน กลายเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจเหนือสังคม
(ดังนั้นจึงเรียกระบบการปกครองว่าเผด็จการภาคตะวันออก) ลักษณะเหตุผลภายในสังคมดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมความมั่นคงแก่ความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานด้านการผลิต
(Stability in basic production relations) ที่เรียกว่าระบบการผลิตแบบเอเชียตามทฤษฎีของ
Mark (สุรพงษ์ ชัยนาม. 2517: หน้า 198)
1.2 การเปลี่ยนแปลงโลกของ Karl
Mark
Mark ได้เขียนหนังสือ
“ความอัตคัดของปรัชญา” เมื่อปี 1847 เพื่อวิพากษ์ทฤษฎีของ
ปรูดอง อย่างถึงที่สุด และได้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับสำนักสังคมนิยมชนชั้นนายทุนต่าง
ๆ สร้างทฤษฎีละยุทธวิธี ลัทธิสังคมนิยมของชนชั้นกรรมาชีพที่ปฏิวัติ
หรือลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งก็คือลัทธิ Mark ขึ้น ในปี 1845
Mark ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสขับออกจากปารีส
ในฐานที่เป็นนักปฏิวัติที่เป็นภัย จึงต้องย้ายมาอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ในปี ค.ศ. 1847
Mark ได้เข้าร่วมองค์การโฆษณาลับที่มีชื่อว่า สันนิบาตชาวลัทธิคอมมิวนิสต์
เปิดประชุมในกรุงลอนดอนเมื่อเดือนพฤษจิกายนปี ค.ศ. 1847 และได้มีบทบาทสำคัญในสมัชชาผู้แทนครั้งที่สองของสันนิบาตนี้
ทั้งได้รับมอบหมายจากสมัชชาครั้งนี้ให้ร่างแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ และสหพันธ์คอมมิวนิสต์
จัดพิมพ์แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (Manifesto of the Communist Party) เมื่อ เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1848 (บุญศักดิ์ แสงระวี. 2547: 5)
สาระสำคัญของแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ มีเนื้อหาโดยรวมเกี่ยวกับการประกาศจุดยืนของลัทธิคอมมิวนิสต์
โดยการชี้แจงทรรศนะ วัตถุประสงค์ และความมุ่งหมายของตนอย่างเปิดเผยแก่คนทั่วโลก รวมถึงการปลุกเร้าความรู้สึกของมวลชนโดยเฉพาะชนชั้นกรรมาชีพให้เห็นความขัดแย้งเหลื่อมล้ำระหว่าง
นายทุนกับชนกรรมาชีพ
ซึ่งในแถลงการณ์นี้มาร์กซได้อธิบายให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการขูดรีดแรงงานระหว่างชนชั้นผ่านแนวคิดวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของมาร์กซ
คือการพูดถึง พลังการผลิต และความสัมพันธ์ทางการผลิต
ในอดีตและปัจจุบันว่ามีการขูดรีดแรงงานอย่างไรโดยเน้นหนักไปที่การโจมตีและต่อต้านอุดมการณ์ทุนนิยม
ผ่านนายทุน และชนชั้นปกครอง
1.3 จุดเริ่มต้นของการสหกรณ์โลก
Robert Owen ผู้ถูกยกย่องให้เป็น
The Father of English Socialism หรือ The Father of
World Cooperative และขบวนการผู้ร่วมคิดร่วมสร้างแนวคิดการสหกรณ์
มีวิธีการพัฒนาการสหกรณ์ที่น่าสนใจยิ่งนัก ก่อนจะเกิด Rochdale Pioneers ในปี 1844
ยี่สิบปีก่อนหน้านั้นมีวิวัฒนาการวิธีการวางรากฐานความเข้าใจเรื่องการสหกรณ์ผ่าน New
Harmony community ในปี 1826 ผ่านบทความชื่อ The Crisis ในปี 1832 ผ่าน Co-operative Magazine ซึ่งเริ่มต้นมาจากชมรมเล็ก
ๆ ที่เรียกว่า A London Co-operative Society ในปี 1824
โดยกระบวนการพัฒนาแนวความคิดของท่าน Robert Owen
Robert
Owen เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ
ท่านวางรากฐานด้านการสหกรณ์เพราะสาเหตุหลักจากการที่ชนชั้นกรรมาชีพ ณ
ขณะนั้นถูกนายทุนเอารัดเอาเปรียบด้านค่าจ้างแรงงาน
เพราะนายทุนใช้เครื่องจักรเครื่องกลมาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์
และต่อรองกับชนชั้นกรมมาชีพโดยการลดค่าจ้างแรงงาน Robert Owen
จึงคิดค้นวิธีการสหกรณ์ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชนชั้นกรรมมาชีพที่ได้รับผลกระทบจากระบบทุนนิยมที่ได้รับแรงหนุนเสริมจากการปฏิบัติอุตสาหกรรม
ที่เริ่มขึ้นในปี 1760 (http://www.historyhome.co.uk/peel/economic/owencoop.htm)
1.4 ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ของ Mark
Mark กล่าวไว้ในคำนำของหนังสือ
“ว่าด้วยทุน” ว่า “จุดหมายปลายทางของหนังสือเล่มนี้
ก็คือต้องการเปิดเผยให้เห็นกฎการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของสังคมยุคปัจจุบัน
คือสังคมทุนนิยม สังคมชนชั้นนายทุน” การค้นคว้าการกำเนิด การพัฒนา และการเสื่อมโทรมอย่างไรของความสัมพันธ์ทางการผลิตของสังคมที่แน่นอนหนึ่งในประวัติสาสตร์
ก็คือเนื้อหาของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของมาร์กซ (บุญศักดิ์ แสงระวี. 2547: หน้า 31)
ทฤษฎีมูลค่า
ผลผลิตทุกชิ้นของแรงงานมนุษย์ตามปกติแล้วจะต้องมีประโยชน์ คือ
จะต้องสามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์คนนั้นได้ อาจกล่าวได้ว่า
ผลผลิตจากแรงงานมนุษย์ทุกอย่างจะต้องมี มูลค่า (Value) ในการใช้ อย่างไรก็ตาม คำว่ามูลค่าในการใช้ ก็มีความหมาย 2 แบบ เราอาจจะพูดถึง มูลค่าในการใช้ ของสินค้าหนึ่งและอาจจะพูดถึง
มูลค่าในการใช้ ต่าง ๆ ได้อีกเมื่อเราหมายถึงสังคมหนึ่งๆที่มีการผลิต
แต่มูลค่าการใช้ เท่านั้น นั่นคือในสังคมที่ผลิตผลผลิตขึ้นมาเพื่อบริโภคโดยตรง
ไม่ว่าจะบริโภคโดยผู้ผลิตเอง หรือโดยชนชั้นปกครองที่ได้ผลผลิตไปก็ตาม นอกจากผลผลิตจากแรงงานมนุษย์จะมีมูลค่าในการใช้แล้ว
ก็ยังมีมูลค่าในการแลกเปลี่ยนได้อีกด้วย แต่ส่วนใหญ่จะผลิตเพื่อการแลกเปลี่ยนในตลาดสินค้าเพื่อขาย
มากกว่าการบริโภคโดยตรงของผู้ผลิตหรือชนชั้นที่เหนือกว่า นั่นคือผลผลิตจำนวนมาก ๆ ซึ่งผลิตขึ้นเพื่อการขายไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการผลิตมูลค่าในการใช้อย่างง่ายๆอีกต่อไป
แต่จะต้องเรียกว่าการผลิต สินค้า ดังนั้น สินค้าคือผลผลิตที่สร้างขึ้นเพื่อการแลกเปลี่ยนในตลาด
ตรงข้ามกับการผลิตที่สร้างขึ้นเพื่อการบริโภคโดยตรง
สินค้าทุกชนิดจะต้องมีทั้งมูลค่าในการใช้และมูลค่าในการแลกเปลี่ยน (อำไพ รุ่งอรุณ.
2519: 6)
ทฤษฎีมูลค่าส่วนเกิน
ตราบใดที่ประสิทธิภาพของแรงงานยังอยู่เพียงระดับที่คนคนๆหนึ่งสามารถผลิตเพียงเพื่อเลี้ยงชีพของตนเอง
การแบ่งงานกันทำในสังคมและความแตกต่างใด ๆ ในสังคมก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ มนุษย์ทุกคนต่างเป็นผู้ผลิตและมีระดับทางเศรษฐกิจอย่างเดียวกัน
การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานขึ้นจากระดับต่ำสุดนั้น ทำให้เกิดส่วนเกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นทุกช่วง
และเมื่อใดก็ตามที่มีผลผลิตส่วนเกินขึ้นมาก็หมายความว่ามนุษย์สามารถผลิตได้มากกว่าที่ตนจำเป็นต้องบริโภค
และดังนั้นก็จำต้องมีการกำหนดเงื่อนไขเพื่อต่อสู้กันว่า
ส่วนเกินที่เกิดขึ้นนี้จะถูกแบ่งกันอย่างไร จากจุดนี้เอง
ผลผลิตทั้งหมดของชุมชนหนึ่งๆ
จึงไม่ได้ถูกใช้ไปเพื่อความจำเป็นในการอยู่รอดของผู้ผลิตอีกต่อไป
ผลผลิตของแรงงานนี้บางส่วนอาจถูกใช้เพื่อคนบางกลุ่มของสังคมเพื่อจะได้ไม่ต้องทำงานเลี้ยงชีพตนเองอีก
เมื่อใดก็ตามที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น
คนบางกลุ่มของสังคมก็จะได้ขึ้นเป็นชนชั้นปกครอง ซึ่งลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้ก็คือ
ถูกปลดปล่อยจากการที่จำเป็นต้องทำงานเพื่อความอยู่รอดของตน ซึ่งหลังจากนี้
แรงงานของผู้ผลิตทั้งหลายสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่หนึ่งใช้เพื่อผลิตสิ่งของบริโภคที่จำเป็นของผู้ผลิตเอง เรียกว่า
“แรงงานอันจำเป็น” อีกส่วนหนึ่งผลิตสิ่งของให้ชนชั้นปกครอง ซึ่งเรียกว่า
“แรงงานส่วนเกิน”ผลผลิตของการใช้แรงงานสองแบบที่แตกต่างกันนี้ก็เรียกแตกต่างกัน
เมื่อผู้ผลิตใช้แรงงานที่จำเป็นก็หมายถึงเขากำลังผลิต “ผลผลิตที่จำเป็น”
และเมื่อเขาใช้แรงงานส่วนเกิน ก็หมายถึงเขากำลังผลิต “ผลผลิตส่วนเกินของสังคม”
ดังนั้น
ผลผลิตส่วนเกินของสังคมก็เป็นส่วนของการผลิตในสังคมที่ผลิตโดยชนชั้นผู้ใช้แรงงาน
แต่ชนชั้นปกครองเป็นผู้ได้ผลผลิตไป โดยไม่จำเป็นต้องแยกว่าเป็นผลผลิตโดยตรง
หรือสินค้าที่นำไปขาย หรือตัวเงิน มูลค่าส่วน
อธิบายง่ายๆก็คือผลผลิตส่วนเกินในรูปตัวเงินนั่นเอง
เมื่อชนชั้นปกครองใช้อำนาจให้ต้องส่ง “ผลผลิตส่วนเกิน” เป็นตัวเงิน
เราก็เพียงแต่เปลี่ยนคำว่า เขาได้รับ “มูลค่าส่วนเกิน” (Surplus Value) แทน “ผลผลิตส่วนเกิน” (Surplus Product) (อำไพ
รุ่งอรุณ. 2519: 5)
1.5 องค์กรไม่แสวงหากำไร
นัฏวรรณ รุจิณรงค์ และประพิน นุชเปี่ยม
(2562) สรุปเกี่ยวกับความหมายขององค์กรไม่แสวงหากำไร (non-profit
organization) ว่าเป็นองค์กรที่มีสมาชิกเป็นของตนเองเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมหรือช่วยเหลือผู้ด้วยโอกาสโดยไม่ได้แสวงหาผลกำไรจากกิจการที่ทำและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลชองรัฐบาล
องค์การไม่แสวงหาผลกำไร
(อังกฤษ: nonprofit organisation หรือย่อว่า NPO) เป็นชื่อเรียกองค์การที่มีจุดมุ่งหมายสนับสนุนกลุ่มที่มีความคิดเห็นพ้องกัน
โดยเนื้อหาจะแตกต่างตั้งแต่ ศิลปะ การกุศล การศึกษา การเมือง ศาสนา งานวิจัย
และจุดมุ่งหมายในด้านอื่น ๆ โดยการทำงานทั้งหมดไม่มีจุดประสงค์ในเชิงพาณิชย์
ไม่หาผลประโยชน์เข้าสู่องค์การ แต่มีรายได้จากค่าลงทะเบียน ค่าบำรุงจากสมาชิก
หรือเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดที่ได้มาจากการบริจาคหรือจากการให้โดยเสน่หา (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
องค์การไม่แสวงหากำไร (Nonprofit
Organization หรือย่อว่า NPO) เป็นหน่วยงานเอกชนที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินงานเกี่ยวกับงานสังคมสงเคราะห์และสาธารณะกุศลหรือเพื่อประโยชน์แก่สมาชิกในองค์การ
มิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหารายได้ในเชิงพาณิชย์
มีการบริหารงานในรูปแบบคณะกรรมการที่เป็นผู้กำกับนโยบายและรับผิดชอบบริหารงบประมาณโดยมิได้หวังผลกำไรตอบแทนหรือนำผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน
(กรมการปกครอง, 2562)
องค์การเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร
หมายถึง องค์การสังคมสงเคราะห์ของเอกชน มูลนิธิ สมาคมและองค์การ
ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานเกี่ยวกับการสังคมสงเคราะห์ และสมาคมการกุศล ได้แก่
สมาคมวาย เอ็ม ซี เอ สมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิง สโมสรไลออนซ์ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย
เป็นต้น (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2562)
1.6 อุดมการณ์ หลักการ วิธีการ
และคุณค่าสหกรณ์
สหกรณ์อยู่บนพื้นฐานแห่งคุณค่าของการช่วยตนเอง
ความรับผิดชอบต่อตนเอง ความเป็นประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความเที่ยงธรรม
และความเป็นเอกภาพ สมาชิกสหกรณ์เชื่อมั่นในคุณค่าทางจริยธรรมแห่งความสุจริต
ความเปิดเผย ความรับผิดชอบต่อสังคม และความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
โดยสืบทอดประเพณีปฏิบัติของผู้ริเริ่มการสหกรณ์
มีความเชื่อร่วมกันที่ว่าการช่วยตนเองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ตามหลักการสหกรณ์ซึ่งจะนำไปสู่การกินดี อยู่ดี มีความเป็นธรรม และสันติสุขในสังคม
โดยยึดแนวทางที่สหกรณ์ยึดถือปฏิบัติเพื่อให้คุณค่าของสหกรณ์เกิดผล เป็นรูปธรรม
หลักการสหกรณ์
หลักการที่
1 การเป็นสมาชิกโดยสมัครใจและเปิดกว้าง
หลักการที่
2 การควบคุมโดยสมาชิกตามหลักประชาธิปไตย
หลักการที่
3 การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของสมาชิก
หลักการที่
4 การปกครองตนเองและความเป็นอิสระ
หลักการที่
5 การศึกษา ฝึกอบรมและสารสนเทศ
หลักการที่
6 การร่วมมือระหว่างสหกรณ์
หลักการที่
7 การเอื้ออาทรต่อชุมชน
1.7.1 ระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ในอุดมคติ
เป็นรูปแบบการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้คนในสังคมที่มารวมตัวกันเป็นองค์กรธุรกิจ
ผู้คนในสังคมที่มารวมตัวกันเป็นสหกรณ์นั้นเป็นผู้ที่มีปัญหา มีความต้องการ
คล้ายกัน มีความเชื่อร่วมกันเกี่ยวกับการพึ่งพาช่วยเหลือตนเองและระหว่างกัน
มุ่งใช้การสหกรณ์ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจในสังคม
ให้ความสำคัญของพลังการรวมคนมากกว่าพลังการรวมเงินหรือทรัพย์สิน
เน้นการดำเนินธุรกิจระหว่างกันเองของสมาชิก
กำไรส่วนเกินที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจใช้แบ่งปันกันอย่างเป็นธรรมเท่าเทียมตามสัดส่วนที่สมาชิกแต่ละคนดำเนินธุรกิจกับสหกรณ์
ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาสังคมให้แก่สมาชิก และสังคมภายนอก
ระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ในอุดมคติ
มีแนวทางชัดเจนในการลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการสะสมกำไรส่วนเกินที่มาจากการสร้างกำไรจากการลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะด้านแรงงาน
ด้านการแย่งชิงเอาทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นปัจจัยการผลิตให้ได้มากที่สุด ตลอดจนด้านการขายสินค้าและบริการให้ได้มากที่สุด
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์มุ่งแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
นอกจากสหกรณ์มุ่งลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการสะสมกำไรส่วนเกินดังกล่าวแล้ว
ยังหนุนเสริมความเท่าเทียม ความเป็นธรรมทางด้านเศรษฐกิจ
โดยไม่ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกในด้านความสัมพันธ์ทางการผลิต กล่าวคือปัจจัยการผลิตทั้งหมด
เช่น เครื่องจักร ป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ฯลฯ ของบรรดาสมาชิก
ยังคงเป็นกรรมสิทธิของสมาชิก ขณะเดียวกันปัจจัยการผลิตทั้งหมด เช่น เครื่องจักร
ป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ของสหกรณ์ก็นับว่าเป็นของสมาชิก
โดยสมาชิกทั้งหมดร่วมกันเป็นเจ้าของ
สมาชิกทั้งหมดมีอำนาจในการบริหารจัดการบรรดาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ
ตลอดจนบริหารกำไรส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานและดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ ซึ่งแตกต่างจากระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ชัดเจน
เป็นที่แน่ชัดว่าสหกรณ์นั้นเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร
เพราะกำไรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจเกิดจากการร่วมกันดำเนินธุรกิจระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง
เป็นกำไรที่ไม่ได้มุ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับสหกรณ์หรือบรรดาสมาชิก
เมื่อการร่วมดำเนินธุรกิจระหว่างกันเองเกิดกำไรส่วนเกินขึ้น
กำไรเหล่านั้นจึงใช้ไปเพื่อการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สหกรณ์ตนเองโดยจัดสรรเป็นเงินทุนสำรอง
และจัดสรรตามกฎหมาย ส่วนที่เหลือก็จัดสรรในรูปของเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน
เงินโบนัสกรรมการและเจ้าหน้าที่ และจัดสรรเป็นทุนอื่น ๆ เพื่อการจัดสวัสดิการแก่สมาชิก
เพื่อการศึกษาอบรมทางการสหกรณ์ และเพื่อสาธารณประโยชน์อื่น ๆ การดำเนินงานและดำเนินธุรกิจของสหกรณ์จึงเป็นไปตามความเชื่อพื้นฐานที่ว่า
การช่วยตนเองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามหลักการสหกรณ์ซึ่งจะนำไปสู่การกินดี
อยู่ดี มีความเป็นธรรม และสันติสุขในสังคม
หลักการที่
3 เรื่องการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของสมาชิก
พบว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสมาชิกที่ดำเนินการร่วมกันนั้นเกิดผลกำไรส่วนเกินขึ้น
เพียงแต่กำไรส่วนเกินดังกล่าวนั้น ไม่ได้มาจากการขูดรีด
และไม่ได้มีไว้เพื่อความมั่งคั่ง
1.7.2 ระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ในปัจจุบัน
บางส่วนถูกมองว่าเอนเอียงไปทางฝั่งของอุดมการณ์แบบทุนนิยม (Capitalism) ด้วยปัจจัยที่สำคัญเพียง
3 ประการ ได้แก่ปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ย ปัจจัยด้านการดำเนินธุรกิจกับสมาชิก และปัจจัยด้านการปันส่วนผลประโยชน์ตอบแทนเมื่อกิจการมีกำไร
ปัจจัยแรก ดอกเบี้ยในระบบสหกรณ์
สามารถจำแนกได้ดังนี้
1. ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่คิดจากสมาชิกหรือสหกรณ์ผู้กู้
2. ดอกเบี้ยเงินรับฝาก ที่คิดให้สมาชิกหรือสหกรณ์ผู้ฝาก
หรืออื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
3. สิ่งที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย
แต่มีลักษณะคล้ายการคิดดอกเบี้ย ได้แก่ ค่าปรับ ซึ่งคิดจากการผิดนัดชำระหนี้
ปัจจัยที่สอง
วัตถุประสงค์และอำนาจกระทำการที่กำหนดในข้อบังคับสหกรณ์ส่วนใหญ่ให้อำนาจในการดำเนินธุรกิจร่วมกับสมาชิก
เพราะสหกรณ์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
แต่สหกรณ์สามารถดำเนินธุรกิจกับบุคคลภายนอกได้ตามที่กฎหมายอนุญาตไว้
ปัจจัยที่สาม การปันส่วนผลประโยชน์ตอบแทนเมื่อกิจการมีกำไร ได้แก่
1. เงินปันผล สำหรับสมาชิกผู้ถือหุ้น
2. เงินเฉลี่ยคืน สำหรับสมาชิกที่มีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจกับสหกรณ์
3. เงินโบนัส สำหรับคณะกรรมการ
(ไม่ได้รับเงินเดือนในการบริหารงาน) และสำหรับเจ้าหน้าที่สหกรณ์
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นมันจะสะท้อนว่าสหกรณ์เอนเอียงไปทางทุนนิยมหรือไม่ก็ต่อเมื่อ
1.
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามกลไกตลาด
ไม่สะท้อนสภาวะทางด้านเศรษฐกิจของสังคมโดยรวม และไม่เป็นไปตามหลักการบริหารทางด้านการเงินที่ดี
ตลอดจนดำเนินธุรกิจในลักษณะใช้เงินทำงานสร้างผลกำไร
ไม่ได้ใช้เงินทำงานเพื่อช่วยเหลือสมาชิก
2.
เน้นดำเนินธุรกิจกับบุคคลภายนอกมากว่าดำเนินธุรกิจกับสมาชิกด้วยกันเอง พยายามหาช่องทางช่องว่างในการแสวงหากำไร
โดยเสี่ยงต่อการขาดทุนและเสี่ยงต่อการเกิดข้อบกพร่อง
3.
มุ่งผลกำไรมากเกินขอบเขตของความเชื่อพื้นฐานที่ว่า การช่วยตนเองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ตามหลักการสหกรณ์ซึ่งจะนำไปสู่การกินดี อยู่ดี มีความเป็นธรรม และสันติสุขในสังคม
เอกสารและสิ่งอ้างอิง
กรมการปกครอง.
2562. องค์กรไม่แสวงหากำไร (NPO) กับการยกเว้นภาษี,
ออนไลน์ https://multi.dopa.go.th/omd2/news/cate1/view17
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2546.
ลัทธิเศรษฐกิจการเมือง, กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นัฏวรรณ รุจิณรงค์ และประพิน
นุชเปี่ยม. 2562.
ปัญหาทางกฎหมายต่อการบริหารจัดการของมูลนิธิในประเทศไทย,
วารสารการบริหารการปกครอง ปีที่ 8 ฉบับที่ 2
บุญศักดิ์ แสงระวี. 2547.
ลัทธิสังคมนิยม 4 ยุค, กรุงเทพฯ :
บริษัทตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด.
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. องค์การไม่แสวงหาผลกำไร, ออนไลน์, https://th.wikipedia.org/wiki/องค์การไม่แสวงหาผลกำไร
สุรพงษ์ ชัยนาม. 2517.
มากซ์และสังคมนิยม, กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์เคล็ดไทย.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. 2562.
สำมะโนอุตสาหกรรม ปี 2540, ออนไลน์, http://statstd.nso.go.th/definition/projectdetail.aspx?periodId=88&defprodefId=1155
อำไพ รุ่งอรุณ. 2519.
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาร์กซิสต์, กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์พิฆเฌศ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น