1. ความหมาย
1.1 หนี้สูญ (Bad Debt) หมายถึง ลูกหนี้ที่ติดตามจนถึงที่สุดแล้ว
แต่ไม่ได้รับชำระหนี้ และได้ตัดจำหน่ายหนี้ออกจากบัญชี (สภาวิชาชีพบัญชี
ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2549: 3)
1.2
หนี้สงสัยจะสูญ (Doubtful Accounts)
หมายถึง ลูกหนี้ที่คาดว่าจะเรียกเก็บไม่ได้
และถือเป็นค่าใช้จ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น (สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์,
2549: 3)
1.3
ค่าเผื่อหนี้สูญ (Allowance for Bad Debt) หรือค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
(Allowance for Doubtful Accounts) หมายถึง
จำนวนที่กันไว้สำหรับลูกหนี้ที่คาดว่าจะเรียกเก็บไม่ได้
และถือเป็นบัญชีปรับมูลค่าที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงเป็นรายการหักจากบัญชีลูกหนี้ในงบการเงิน
เพื่อให้คงเหลือเป็นมูลค่าสุทธิของลูกหนี้ที่คาดหมายว่าจะเก็บได้ (สภาวิชาชีพบัญชี
ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2549: 3)
1.4 ค่าเผื่อหนี้สูญหรือค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (Allowance for
Doubtful Accounts) หมายถึง จำนวนเงินที่กันไว้สำหรับลูกหนี้ที่คาดว่าจะเรียกเก็บเงินไม่ได้
ถือเป็นบัญชีปรับมูลค่าที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงเป็นรายการหักจากบัญชีลูกหนี้ในงบดุล เพื่อให้ยอดคงเหลือเป็นมูลค่าสุทธิของลูกหนี้ที่คาดว่าจะเก็บเงินได้
(กรมตรวจบัญชีสหกรณ์, ออนไลน์)
1.5 การด้อยค่า หมายถึง การรับรู้สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ประกาศสภาวิชาชีพบัญชี
ที่ 22/2561, 30)
2. กฎหมาย
2.1
กฎกระทรวง ฉบับที่ 159 (พ.ศ. 2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
2.2 มาตรฐานการบัญชี
ฉบับที่ 101 เรื่อง หนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญ (ฉบับที่ 11
เดิม)
2.3 ประกาศสภาวิชาชีพบัญชี
ที่ 22/2561 เรื่อง มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง
เครื่องมือทางการเงิน (Thai Financial Reporting Standards: TFRS 9)
2.4 ระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการบัญชีของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
พ.ศ.2563
2.5
ประกาศกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เรื่องการประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ พ.ศ.2563
2.6
ประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ เรื่อง การประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
ตามระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ ว่าด้วยการบัญชีของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร พ.ศ.2563
2.7
ระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์
ว่าด้วยการจัดชั้นคุณภาพลูกหนี้เงินกู้และการเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ พ.ศ.2544
2.8 คำแนะนำนายทะเบียนสหกรณ์ เรื่องวิธีปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับลูกหนี้ พ.ศ.2547
3. วิธีการ
3.1 วิธีประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
ตามที่กำหนดใน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 101 เรื่อง
หนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญ (ฉบับที่ 11 เดิม)
3.1.1
คำนวณเป็นร้อยละของยอดขาย วิธีนี้กิจการจะต้องวิเคราะห์จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับจำนวนลูกหนี้ที่เก็บไม่ได้
เทียบเป็นอัตราส่วนกับยอดขาย คือ
3.1.1.1 คํานวณเป็นร้อยละของยอดขายรวม
โดยถือว่าการขายเป็นรายการที่ก่อให้เกิดลูกหนี้และอัตราส่วนของการขายสัมพันธ์กับจํานวนหนี้ที่เก็บไม่ได้
3.1.1.2
คํานวณเป็นร้อยละของยอดขายเชื่อ
โดยถือว่าการขายเชื่อสัมพันธ์โดยตรงกับลูกหนี้ส่วนการขายเงินสดไม่ได้ก่อให้เกิดลูกหนี้แต่อย่างใด
3.1.2
คํานวณเป็นร้อยละของยอดลูกหนี้ โดยการวิเคราะห์จากประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มา
กิจการจะสามารถประมาณอัตราร้อยละของลูกหนี้ที่คาดว่าจะเก็บไม่ได้ต่อยอดลูกหนี้ที่คงค้างอยู่ได้ดังนี้
3.1.2.1
คํานวณเป็นร้อยละของยอดลูกหนี้
โดยถือว่าอัตราส่วนของจํานวนหนี้สงสัยจะสูญสําหรับลูกหนี้ทั้งหมดจะคงที่
3.1.2.2 คํานวณโดยการจัดกลุ่มลูกหนี้จําแนกตามอายุของหนี้ที่ค้างชําระ
ลูกหนี้กลุ่มที่ค้างชําระนานจะนํามาคํานวณหาจํานวนหนี้สงสัยจะสูญด้วยอัตราร้อยละที่สูงกว่าลูกหนี้ที่เริ่มค้าง
ชําระเกินกําหนด
โดยถือว่าลูกหนี้ที่ค้างชําระนานจะมีโอกาสไม่ชําระหนี้มากกว่าลูกหนี้ที่เริ่มเกิดขึ้น
3.1.3
คํานวณโดยพิจารณาลูกหนี้แต่ละราย และจะรวมเฉพาะรายที่คาดว่าจะเรียกเก็บไม่ได้เท่านั้นเป็นหนี้สงสัยจะสูญ
วิธีนี้อาจจะกระทําได้ยากในทางธุรกิจที่มีลูกหนี้จํานวนมากราย (สภาวิชาชีพบัญชี
ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2549: 4-5)
3.2
วิธีการประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ตามที่กำหนดใน ระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการบัญชีของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
พ.ศ.2563
ข้อ 26
ให้สหกรณ์ประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ที่คาดว่าจะเรียกเก็บไม่ได้
ณ วันสิ้นปีทางบัญชี เพื่อปรับมูลค่าของลูกหนี้เงินกู้
โดยแสดงเป็นรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญหักจาก
บัญชีลูกหนี้เงินกู้ในงบแสดงฐานะการเงิน ดังนี้
(1)
สหกรณ์ตามมาตรา 33/1 (1) (2) (3) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542
และที่แก้ไขเพิ่มเดิม และกลุ่มเกษตรกร ให้ประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
ตามประกาศกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เรื่อง การประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
(2)
สหกรณ์ตามมาตรา 33/1 (6) และ (7) แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542
และที่แก้ไขเพิ่มเดิม ให้ประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามกฎกระทรวงว่าด้วย
การจัดชั้นสินทรัพย์ และการกันเงินสำรอง
ให้นำรายการดังต่อไปนี้
มาพิจารณาก่อนประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ณ วันสิ้นปีทางบัญชี
(1)
จำนวนเงินที่ได้รับชำระหนี้หลังวันสิ้นปีทางบัญชี แต่ก่อนวันที่ผู้สอบบัญชีแสดงความเห็น
ต่องบการเงิน
(2)
เงินฝากของลูกหนี้ที่ฝากไว้กับสหกรณ์ตามจำนวนเงินที่เจ้าของบัญชีเงินฝากดังกล่าว
ทำสัญญาตกลงผูกพันคํ้าประกันหนี้ของลูกหนี้และให้สิทธิแก่สหกรณ์สามารถถอนเงินฝากเพื่อชำระหนี้ได้
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ
(3)
หลักทรัพย์รัฐบาล หรือหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังคํ้าประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
และเจ้าของหลักทรัพย์นั้นได้ทำสัญญาตกลงผูกพันคํ้าประกันหนี้ของลูกหนี้ให้หักได้ตามมูลค่าหลักทรัพย์
เท่าที่ได้นำมาเป็นหลักประกันกับสหกรณ์
(4) ที่ดิน หรือที่ดินพร้อมอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่จดจำนองไว้กับสหกรณ์ กรณีประเมิน โดยทางราชการให้หักได้เต็มจำนวน กรณีประเมินโดยผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินรับอนุญาตให้หักได้ ร้อยละ 70 ของราคาประเมิน ทั้งนี้ ต้องไม่เกินกว่าวงเงินที่ระบุไว่ในสัญญาจำนอง
4. จุดมุ่งหมาย
ผมรู้จักวิกฤติทางการเงินใหญ่
ๆ ครั้งแรกก็คือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540
(Asian financial crisis)” สำหรับประเทศไทยมีสาเหตุหลัก ๆ มาจาก ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ปัญหาหนี้ต่างประเทศ ปัญหาการลงทุนเกินตัวและฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ปัญหาขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายทางการเงิน
และปัญหาการโจมตีค่าเงินบาท (https://th.wikipedia.org/wiki/วิกฤติการการเงินในเอเซีย_พ.ศ._2540) ต่อมาก็รู้จักวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime
Mortgage Crisis) ในปี 2551
ทั้งสองเหตุการณ์ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมไปทั่วโลก คนรวยเดือดร้อน
คนไม่รวยก็เดือดร้อนไปด้วย เพราะโลกมันเชื่อมโยงการเงิน การค้า การดำเนินธุรกิจ
เจ้าของธุรกิจกู้เงินสถาบันการเงินมาดำเนินธุรกิจ เมื่อธุรกิจเจ๊ง เจ้าของกิจการ
นักลงทุน คนฝากเงิน แรงงานมันสมองและผู้ใช้แรงงาน ต่างก็เดือดร้อน
ได้รับผลทางตรงและผลกระทบ กันถ้วนหน้า ผู้คนตกงาน การค้าการขายก็ซบเซา
มันเชื่อมโยงได้รับผลกระทบกันทั่ว
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วโลกได้มีการทบทวนและปรับปรุงแนวทางการกำ
กับดูแลในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เท่าทันต่อความเสี่ยงในการทำธุรกิจของสถาบันการเงิน
โดยทำให้สถาบันการเงินมีการกันเงินสำรองที่เพียงพอ รวดเร็ว และทันการณ์ ทำ
ให้ประชาชน นักลงทุน
และผู้ใช้งบการเงินของสถาบันการเงินสามารถประเมินความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
หนึ่งในเครื่องมือนั้นก็คือ การปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีสำหรับเครื่องมือทางการเงิน
(International
Financial Reporting Standards: IFRS) โดยในปี2557
คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (International Accounting
Standards Board: IASB) ได้ออกมาตรฐานการรายงานทางการเงินกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน
ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงินหรือที่เรียกกันว่า IFRS 9 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในระดับสากลเมื่อปี 2561 โดยหลักการและวิธีการบัญชีสำหรับเครื่องมือทางการเงินให้สะท้อนฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานที่แท้จริงของกิจการมากยิ่งขึ้น
โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) การจัดประเภทและการวัดมูลค่าของสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน
(classification and measurement) 2) การรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเครื่องมือทางการเงิน
(impairment) หรือการกันเงินสำรอง และ 3) การบัญชีป้องกันความเสี่ยง
(hedge accounting) (BOT MAGAZINE
ฉบับที่ 1 ปี 2563)
การตั้งค่าเผื่อหนี้สูญหรือค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
จึงเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านเครดิต
(หนี้สินต่าง ๆ ที่กิจการอยู่ในฐานะเจ้าหนี้) ช่วยสะท้อนผลกำไร-ขาดทุน
ที่แท้จริงของธุรกิจ
ช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำเงินมาลงทุนในธุรกิจมีความตระหนักในเรื่องกำไรที่สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจที่แท้จริง
ไม่ตกเป็นเหยื่อของภาพลวงตาต่าง ๆ
ทางการเงินที่มิได้สะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่แท้จริง
5. สรุป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น